ตำนานพระเสาร์
ในคัมภีร์ปุราณะว่าพระเสาร์เป็นโอรสพระอาทิตย์กับพระนางฉายา อีกนัยหนึ่งก็คือ
เป็นโอรสของพระพลราม (มหากาพย์มหาภารตะ) กับนางเรวดี
นางสังคณา
(หรือพระนางสรัณยา) ธิดาแห่งพระวิศุกรรม เป็นพระชายาของพระสุริยะ อยู่ด้วยกันจนมีบุตรสามพระองค์ ต่อมาพระนางสังคณาทนแสงพระอาทิตย์ไม่ไหว
จึงหลบหนีไป ยอมให้พระนางฉายาอยู่เป็นชายาแทน
เมื่อสลับตัวกันแล้ว พระสุริยะก็ไม่รู้ว่าชายาของตนสับตัวกัน
วันหนึ่งนางฉายาก็เป็นอันหมั่นไส้โกรธพระยม ซึ่งเป็นหนึ่งในโอรสของพระสุริยะกับพระนางสังคณา
นางฉายาจึงกล่าวแช่งพระยม เมื่อพระยมได้รับผลตามคำสาบแช่งของพระนางฉายา พระสุริยะจึงทราบว่าพระนางไม่ใช่มารดาของพระยม
ไม่ใช่ชายาคนเดิมของพระองค์ ต่อมาภายหลังพระนางฉายาก็มีบุตรกับพระสุริยะ
(พระอาทิตย์) นามว่า พระเสาร์
พราหมณ์ถือกันว่า พระเสาวร์เป็นเทพเจ้าผู้เคราะห์ร้าย บ้างก็ว่าพระเสาร์เป็นเทพที่มีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว
ผอม หลังค่อม ขาพิการ เหตุที่ขาเขยก
เดินกระเผลกนี้มีที่มาดังเรื่องเล่าในคัมภีร์พรหมมาไววรรตะปุราณะ เมื่อพระคเณศประสูติแล้ว
เหล่าเทพเทวดาทั้งหลายได้เข้าเฝ้าพระศิวะ (อิศวร) กับพระนางอุมาเทวี (ปารวตี) และได้เข้าชมเทวบุตรองค์น้อยนั่นคือพระคเณศ เทพเทวดาต่างเรียงแถวกันเข้าไปชื่นชมบุตรแห่งพระผู้เป็นเจ้า
รวมทั้งพระเสาร์ แต่เมื่อถึงตาพระเสาร์อวยพรพระบุตร พระเสาร์กลับก้มหน้าไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองพระพิฆเนศ
พระแม่อุมาเทวีจึงตรัสถามว่า เหตุอันใดจึงไม่แลดูบุตรของเรา
พระเสาร์ตอบว่า วันหนึ่งขณะพระเสาร์กำลังนั่งสมาธิเข้าฌาน ตั้งจิตระลึกถึงพระวิษณุมหาเทพแห่งจักรวาล
ซึ่งเป็นเวลาหลายชั่วยาม พระชายาของพระเสาร์ก็เดินเข้ามาหมายจะมาพูดคุยด้วย
แต่พระเสาร์ก็หาได้สนใจไม่ ยังคงนั่งสมาธิไม่ถอนออกจากภวังค์
พระนางจึงกริ้วสาปแช่งไปว่า "ถ้าพระเสาร์ลืมตามาและเพ่งดูผู้ใด ขอให้ผู้นั้นพินาศ" พระนางจึงไม่สนใจพระเสาร์นับแต่นั้น
พระนางปารวตีได้ฟังเช่นกันก็หาได้สนใจไม่ ยังคงรบเร้าให้พระเสาร์แลดูบุตรอันงดงามแห่งตน
พระเสาร์จึงเชิญพระยมมาเป็นพยานว่า ได้รับการอนุมัติจากพระนางปารวตีแล้ว
จึงเพ่งมองดูพระพิฆเณศวร์
ทันใดนั้นด้วยคำสาปของชายาพระเสาร์ เศียรพระพิฆเนศวรจึงหลุดออกจากบ่าทันที ลอยไปไกลถึงไวกูณฐ์สวรรค์แห่งพระวิษณุนารายณ์ เมื่อพระวิษณูทราบต้นเหตุแห่งการลอยกระเด็นมาของเศียรเด็กชายนี้ จึงอาสาออกไปยังลำน้ำปุษปภัทร์ ตัดเอาศีรษะของช้างที่นอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกอยู่ริมลำน้ำ มาติดให้ที่บ่าของพระพิฆเนศ (นี่ก็เป็นอีกตำนานหนึ่งเรื่องเศียรช้างของพระคเณศ)
พระศิวะและพระนางอุมาเทวี มีความยินดีประทานพรต่างๆให้กับเหล่าทวยเทพฤาษีชีพราหมณ์ที่มาเข้าเฝ้าอวยพระพรบุตรของตน ให้ได้รับแต่ความสวัสดีมีชัย
เว้นแต่พระเสาร์เท่านั้น ยังถูกพระนางอุมาเทวีสาปแช่งให้เป็นขาเขยกต่อมาอีก
พระเสาร์จึงเป็นเทพผู้อาภัพ อีกทั้งยังเป็นเทพผู้ดุร้ายใจดำ
เป็นเทพผู้เคียดแค้น ตามตำราจึงพรรณาถึงรูปกายของพระเสาร์ว่ามีสีกายดำสนิท
นั่งบนหลังพญาแร้ง บ้างก็บักทึกว่านั่งบนหลังครุฑเป็นพาหนะ
ตามตำราของไทยว่าทรงเสือ นัยน์ตาดุร้าย ขาข้างซ้ายเขยกพิการ
ถ้ารูปมี 4 พระกรจะถือคันธนู ศร
ทวนและศูล ถ้ารูปที่มี 2 พระกรจะถือไม้เท้ากับแจกัน
หากว่าตามตำราของพระอิศวรมหาเทพ
กล่าวถึงพระเสาร์ว่า พระอิศวรผู้เป็นเจ้าได้สร้างพระเสาร์ขึ้นมาจากการนำเอาหัวเสือจำนวน
10 ตัวมาบดให้ป่นละเอียด
ห่อด้วยผ้าสีดำ ปลุกเสกด้วยเวทมนต์คาถาอันเข้มขลัง บังเกิดเป็นพระเสาร์ อุปนิสัยใจคอเช่นเสือโดยธรรมชาติ ดุร้าย แต่ที่ดุร้ายก็เพียงต้องเอาชีวิตให้รอด
จึงมีความพยาบาทร้ายแรง โกรธง่าย ข้อดีของพระเสาร์คือมีความมานะ
อดทนต่อสิ่งเลวร้ายรอบข้าง ปรับตัวให้มีความแข็งแกร่ง
จึงฉลาดอย่างลึกซึ้ง ยอมต่อสู้กับศัตรูจนตัวตาย
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น