ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ไหว้พระ สวดมนต์ กับวัดหลวงพ่อโสธร

ไหว้พระสวดมนต์ หลวงพ่อโสธร

ประวัติ หลวงพ่อโสธร วัดโสธรวรารามวรวิหาร
อันบุญบารมีอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ใครๆ จะปฏิเสธไม่ได้เลย และจะแข่งขันให้เท่าเทียมกันนั้นก็ได้ยาก จะมีบ้างก็บางสถานที่ บางท่านบางคนทั้งยังเป็นสิ่งที่เหนือเหตุผลของการพิสูจน์ ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า สิ่งมหัศจรรย์นั้นเป็นอจินตัยไม่ควรคิดค้นหาเหตุผล ความศักดิ์สิทธิ์อภินิหารจะดลบันดาลให้เกิดมีเฉพาะผู้มีบุญวาสนา และผู้เลื่อมใสศรัทธาเชื่อมั่นเท่านั้น หลวงพ่อโสธรองค์หนึ่งที่ทรงอานุภาพศักดิ์สิทธิ์มีอภินิหารเป็นพระพุทธรูปที่ทรงอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ เป็นมิ่งขวัญของชาวจังหวัดฉะเชิงเทรา และเป็นที่รู้จักเคารพบูชาของประชาชนทั้งหลาย หลวงพ่อโสธร เป็นพระพุทธรูปที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้างประมาณ 1 ศอกเศษ ปรางค์ขัดสมาธิเพชร แต่ได้เสริมแต่งขึ้นจากเดิมโดยพอกปูนลงลักปิดทองให้เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 3ศอก 5 นิ้ว พระเนตรเนื้อเลียนแบบพระสมัยลานช้าง หรือเรียกกันสามัญว่า “พระลาว” ซึ่งพระชนิดนี้มีชื่อว่าวัดหงษ์

โดยที่วัดนี้มีเสาใหญ่ มีหงษ์เป็นเครื่องหมายติดอยู่กับยอดเสา วัดนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบางปะกงด้านทิศตะวันตก สถานที่ตั้งวัดแต่ดั้งเดิมนั้น เวลานี้ถูกน้ำเซาะพังเป็นแม่น้ำไปหมดแล้ว วัดนี้ใครเป็นผู้สร้างและสร้างขึ้นในสมัยใดไม่ปรากฏ แต่ได้ความว่าเป็นวัดเก่าแก่สร้างมานานแล้ว ต้นเหตุที่วัดนี้ได้ชื่อว่า โสทรหรือ โสธร นั้นเล่ากันว่ากาลต่อมาหงษ์ใหญ่ที่ติดอยู่บนยอดเสานั้น พลัดตกลงมาหักทำลายคงเหลือแต่เสา จึงได้เอาผ้าผืนใหญ่ทำเป็นธงขึ้นไปแขวนไว้บนยอดเสาแทนหงษ์ประชาชนก็เลยเรียกชื่อตามนิมิตเครื่องหมายนั้นว่า วัดเสาธง นานมาเสาธงนี้ได้ถูกลมพายุพัดหักโค่นลงมาเป็น 2 ท่อน ชาวบ้านก็เลยถือเอานิมิตที่เสาธงหักเป็นท่อนนั้นตั้งเป็นชื่อวัดว่า “วัดเสาทอน” อยู่สิ้นกาลช้านาน จวบจนถึงสมัยที่มีพระพุทธรูป 3 องค์ พี่น้องล่องลอยน้ำมาจากเหนือ และในจำนวนพระพุทธรูป 3 องค์ นั้นได้อาราธนาอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานไว้ที่วัดนี้ 1 องค์ คือ หลวงพ่อโสธร และปรางหลังครั้งหลังก่อนหลวงพ่อโสธรจะมีชื่อเรียกมาอย่างไรไม่มีใครทราบ

เมื่อได้หลวงพ่อมาไว้สักการะบูชาแล้ว ก็ได้มีท่านผู้รู้ออกความเห็นว่า วัดนี้ยังเรียกชื่อวัดกันไม่แน่นอน จึงพร้อมใจกันเปลี่ยนชื่อวัดเสียใหม่ว่า “วัดโสทร” อันหมายความว่า วัดพระ 3 องค์ พี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน เมื่อเปลี่ยนเป็นชื่อวัดโสทรแล้ว หมู่บ้านและคลองที่ขึ้นอยู่กับวัดนี้ก็ได้นามเปลี่ยนตามวัดไปด้วย เดิมทีเดียววัดนี้ใช้ตัวหนังสือเขียนว่า “โสทร” ไม่ได้เขียนว่า “โสธร” ดังปัจจุบันนี้ แต่เนื่องด้วยพระพุทธรูปที่ได้มาคือหลวงพ่อโสธรนั้น มีอานุภาพและความศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏ และรูปทรงท่านสวยงามมาก จึงได้เขียนและชื่อวัดว่า “วัดโสธร” ซึ่งมีความหมายว่า “พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์” มาจนทุกวันนี้
คำว่า “โสธร” นี้มีพระอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิให้ความเห็นว่า เป็นนามที่ศักดิ์สิทธิ์ (โส) เป็นอักขระสำเร็จรูป ป้องกันทุกข์โศกโรคภัยได้ทั้งปวง (ธ) นั้นเป็นพยัญชนะอำนาจ มีตบะเดชานุภาพ (ร) เป็นอักษรมหานิยมเป็นที่ชื่นชมของเทวดาและมนุษย์
         เมื่อ พ.ศ.2458 สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสพระสังฆราชเสด็จมาตรวจการคณะสงฆ์ที่วัดโสธร ทรงสันนิษฐานว่า ผู้ที่ให้ชื่อวัดนี้ไม่ใช่คนที่ไม่รู้ เพราะเป็นนามที่ไพเราะทั้งแปลก็ได้ใจความดังนี้ หลวงพ่อโสธรมาประดิษฐานอยู่ที่วัดโสธรนานเท่าใด ไม่มีใครทราบได้แน่นอนพอจะมีเค้าตามคำบอกเล่าอันเกี่ยวโยงถึง หลวงพ่อวัดบ้านแหลมจังหวัดสมุทรสงครามและหลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน จังหวัดสมุทรปราการว่า เป็นพระพุทธรูปที่ลอยน้ำมาด้วยกัน และเป็นพระพี่น้องกันและชาวบ้านแหลมได้อัญเชิญหลวงพ่อวัดบ้านแหลมขึ้นจากน้ำเมื่อ พ.ศ.2313 จึงคาดคะเนเอาว่าหลวงพ่อก็คงมาประดิษฐานอยู่ที่วัดโสธรราว พ.ศ.2313 หรือก่อนนั้นก็ไม่แน่นัก
         ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อโสธรนี้มีผู้เล่าสืบ ๆ กันมาหลายกระแส ได้สอบถามผู้เฒ่าผู้แก่หลายคน ซึ่งท่านเหล่านั้นก็ได้รับฟังมาจากบรรพบุรุษเล่าให้ฟังต้องกันว่า “หลวงพ่อโสธร” ลอยน้ำมาตามคำว่า มีพระพี่น้องชายกัน 3 องค์ อยู่ทางเมืองเหนือแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ล่องลอยมาตามแม่น้ำจากทางทิศเหนือ เรื่อยมาจามลำแม่น้ำเจ้าพระยา ในที่สุดมาผุดขึ้นใน แม่น้ำบางปะกง ณ ที่ตำบลหนึ่ง และแสดงปาฏิหารย์ลอยทวนกระแสน้ำให้ประชาชนเห็นทั้ง 3 องค์ ประชาชนแถบนั้นต่างพร้อมใจกันอาราธนาเอาเชือกพรวนมนิลาลงไปผูกมัดที่องค์หลวงพ่อทั้ง 3 แล้วช่วยกันฉุดลากขึ้นฝั่งด้วยจำนวนผู้คนประมาณ 500 กว่าคนก็ฉุดขึ้นไม่ได้ เชือกขนาดใหญ่ที่ผูกองค์หลวงพ่อทั้ง 3 ก็ขาดฉุดไม่สำเร็จตามความประสงค์ ครั้นแล้วหลวงพ่อทั้งสามองค์ก็จมน้ำหายไปต่อหน้าคนทั้งหมด สถานที่พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ได้ลอยทวนน้ำมานั้นเลยได้ชื่อว่า “ตำบลสามพระทวน” แต่ต่อมากลับเรียกว่า สัมปทวน ได้แก่แม่น้ำหน้าวัดสมปทวน อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ทุกวันนี้

ต่อจากนั้นพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ก็ล่องลอยตามแม่น้ำบางปะกง เลยผ่านหน้าวัดโสธรไปถึงคุ้งน้ำใต้วัดโสธร แสดงอภินิหารผุดขึ้นให้ชาวบ้านบางนั้นเห็น ชาวบ้านได้ช่วยกันอาราธนาฉุดขึ้นฝั่งทำนองเดียวกันกับชาวสัมปทวน แต่ก็ไม่สำเร็จหมู่บ้านบางนั้นจึงได้ชื่อว่า บางพระ มาจนทุกวันนี้ จากนั้นพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ก็ล่องลอยทวนน้ำขึ้นมาถึงและลอยวนอยู่ที่หัวเลี้ยว ตรงกองพันทหารช่างที่ 2 ปัจจุบัน สถานที่พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์มาลอยวนอยู่นั้นจึงเรียกกันว่า แหลมหัววน และได้จมน้ำหายไปหลังจากนั้นพระพุทธรูปองค์พี่ใหญ่ ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปฏิหาริย์ ล่อยลอยไปผุดขึ้นที่ลำน้ำแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม ประชาชนชาวประมงอาราธนาขึ้นได้ และประดิษฐานเป็นมิ่งขวัญอยู่ที่วัดบ้านแหลมเราเรียกว่า หลวงพ่อวัดบ้านแหลม ทุกวันนี้เป็นที่บูชานับถือกันว่าเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์ทัดเทียมกับหลวงพ่อโสธร ส่วนองค์สุดท้องได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ลอยล่องไปผุดขึ้นที่ปากคลองสำโรง ชาวบ้านแถบนั้นได้อาราธนาขึ้นแพใช้เรือพายลายจูง ทั้งอธิษฐานว่าจะขึ้นเป็นมิ่งขวัญที่ใด ก็ขอให้แพนั้นจงหยุดอยู่กับที่ แล้วล่องมาตามลำคลองแพนั้นก็มาหยุดอยู่หน้าวัดบางพลีใหญ่ใน จังหวัดสมุทรปราการ ชาวบางพลีก็ได้อาราธนาอัญเชิญขึ้นประดิษฐานอยู่ทีวัดบางพลีใหญ่ใน ก็ปรากฏว่ามีผู้คนเคารพเลื่อมใสมากมายทัดเทียมกับหลวงพ่อวัดบ้านแหลม และหลวงพ่อโสธร ส่วนพระพุทธรูปองค์กลาง คือ หลวงพ่อโสธร เมื่อลอยตามน้ำมาจากหัววนดังกล่าวแล้ว ก็มาผุดขึ้นที่ท่าหน้าวัดโสธร

กล่าวกันว่าประชาชนจำนวนมากทำการฉุดลากขึ้นโดยได้มีอาจารย์ผู้มีความรู้ทางไสยศาสตร์กระทำตามพิธีการอันถูกต้อง แล้วเอาด้านสายสิญจน์คล้องกับพระหัตถ์หลวงพ่อโสธรอัญเชิญขึ้นมาบนฝั่ง นำมาประดิษฐานในวิหารสำเร็จตามความประสงค์ แล้วก็จัดให้มีการฉลองสมโภช และให้นามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อโสธร องค์หลวงพ่อโสธรจริง ๆ นั้นในสมัยที่ลองลอยน้ำมาเดิม เป็นพระพุทธรูปที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ปางสมาธิเพชร หน้าตักกว้างประมาณ 1 ศอกเศษ รูปทรงสวยงามมาก
         ต่อมาพระสงฆ์ในวัดเห็นว่ากาลต่อไปภายหน้าฝูงคนที่มีตัณหาและความโลภแรงกล้ามีอัธยาศัยเป็นบาปลามกไม่มีความศรัทธาเลื่อมใส จักนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวจะไม่เป็นการปลอดภัย จึงพอกปูนเสริมให้ใหญ่หุ้มองค์จริงไว้ภายในดังปรากฏที่เห็นในปัจจุบันนี้
         สถานที่วัดโสธรตั้งอยู่เดิมภายแรกนั้น ทางบกเป็นป่ามีหมู่บ้านคนน้อยมาก การคมนาคมไม่ค่อยสะดวก เมื่อหลวงพ่อโสธรมาประดิษฐานอยู่ที่วัดโสธรแล้ว ประชาชนชาวเรือนับถือว่า ถ้าได้บอกขอต่อหลวงพ่อโสธรแล้ว สินค้าก็ซื้อง่ายขายคล่องเป็นเทน้ำเทท่า เรือแพที่ผ่านไปมาในแม่น้ำพอถึงที่ตรงกับโบสถ์หลวงพ่อโสธรแล้ว ผู้ที่นิยมนับถือและเห็นความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธร ก็วักเอาน้ำในแม่น้ำซึ่งนับถือว่าเป็นน้ำมนต์หลวงพ่อดื่มบ้าง ลูบศีรษะบ้าง ล้างหน้าประพรมเรือสินค้าในเรือ ดังได้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ครั้นต่อมาการคมนาคมทางบกสะดวกขึ้น จึงมีผู้คนไปนมัสการหลวงพ่อกันมากขึ้น ผู้ใดเจ็บป่วยก็มาขอความคุ้มครองจากหลวงพ่อโสธร และก็ได้รับสมความปรารถนาเป็นส่วนมาก กิติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธรได้แผ่ไพศาลไปในถิ่นต่าง ๆ มูลเหตุที่มีงานสมโภชนั้น

เล่ากันว่า สมัยหนึ่งบ้านโสธรเกิดข้าวยากหมากแพง ฝนแล้งข้าวกล้าในนาเหี่ยวแห้งตาย สัตว์พาหนะเกิดโรคระบาด ผู้คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่เป็นโรคฝีดาษล้มเจ็บลงตามกัน ผู้ที่พอหนีได้ก็ทิ้งสมบัติบ้านเรือนหนีเอาตัวรอด ผู้ที่ป่วยไปไม่ไหวก็นอนรอวันตายของตนอยู่ ในกาลนั้นยังมีบุรุษหัวหน้าครอบครัว ๆ หนึ่งก็ได้เป็นโรคนี้ เมื่อเห็นว่าไม่มีคนที่พอจะเป็นที่พึ่งกันได้ ก็เลยหันหน้าเข้าพึ่งสรณะนมัสการอธิษฐานบนบานขอความคุ้มครองรักษาจากหลวงพ่อ โสธรในวิหาร รับเอายาดีของหลวงพ่อโสธรมา 3 อย่าง คือ ขี้ธูป 1 ดอกไม้เหี่ยวแห้งที่บูชาแล้ว 1 และน้ำมนต์จากหลวงพ่อโสธร 1 เอามาต้มกินทาอาบทั่วสรรพางค์กาย ปรากฏว่าได้ผลสมปรารถนา โรคภัยต่าง ๆ หายเป็นปกติด้วยความดีใจที่โรคหายสมประสงค์จึงจัดให้มีการสมโภชแก้บนถวายหลวงพ่อแต่นั้นมา กิติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธร ก็แพร่ไปทั่วในถิ่นต่าง ๆ กว้างขวางมากยิ่งขึ้นจนเป็นที่เลื่องลือนับถือบูชาว่าหลวงพ่อโสธรศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดปรารถนาสิ่งใดที่ชอบธรรม ท่านก็ประสิทธิ์ประสาทให้สมประสงค์ การสมโภชแก้บนจึงมีขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
         มีพระบรมราชวินิจฉัยเกี่ยวกับหลวงพ่อโสธร ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อคราวเสด็จประพาสจังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. 2451 ไว้ดังนี้
         “กลับมาแวะวัดโสธร” ซึ่งกรมหลวงดำรงคิดจะแปลว่า ยโสธรจะให้เกี่ยวข้องแก่การที่ได้สร้าง เมื่อเสด็จกลับจากการไปตีเขมร แผ่นดินพระบรมไตรโลกนาถ หรือเมื่อใดนั้นเป็นที่สงสัยด้วยเห็นไม่ถนัด พระพุทธรูปทำด้วยศิลาแลงทั้งนั้น องค์ที่สำคัญว่าเป็นหมดดีนั้น คือ องค์ที่อยู่กลาง ดูรูปตักและเอวงามเป็นทำนองเดียวกันกับพระพุทธรูปเทวปฏิมากร แต่ตอนบนกลายเป็นด้วยฝีมือผู้ปั้นไปว่า ลอยน้ำมาก็เป็นความจริงเพราะเป็นศิลาคงจะไม่ได้ทำในที่นี้”
อานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธร มีมากเหลือที่จะเล่าสู่กันฟังให้หมดได้ เพราะหลวงพ่อโสธรเปรียบเสมือนเป็นต้นโพธิ์ไทรอันใหญ่ ให้สรรพสัตว์ได้พำนักอาศัย หลวงพ่อโสธรเป็นร่มใหญ่กางกั้นสรรพภัยอันตราย ความเดือดร้อนลำเค็ญให้สรรพสัตว์ได้อยู่เย็นเป็นสุข เป็นแพทย์วิเศษพยาบาลผู้อาพาธให้หายขาดไม่กลับคืน เป็นสรณะที่พึ่งพิงของหมู่บริษัทที่ถูกภัยคุกคามเป็นนิธิบ่อบุญกุศลของทายกทายิกาผู้ใฝ่หาบุญกุศลเป็นหมอดูพยากรณ์ทายโชคชะตาวาสนาทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบัน ให้ทุกท่านผู้ต้องการทราบหลวงพ่อเป็นสัพพัญญูสำเร็จวิชาทุกอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นบรมครูของเทวดาและมนุษย์ไม่มีผู้ใดยิ่งไปกว่าหลวงพ่อ

งานนมัสการหลวงพ่อโสธร

         หลวงพ่อโสธรเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ มีประชาชนพุทธบริษัททั้งใกล้และไกลเป็นที่นับถือ และที่ผู้ไปนมัสการไม่ขาด ทางวัดจึงจัดให้มีงานเทศกาลฉลององค์หลวงพ่อปีหนึ่งมีสองครั้ง คือ
1. งานเดือน 5 เรียกว่างานกลางเดือน 5 เริ่มงานตั้งแต่วันขึ้น 14-15 ค่ำ ถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 5 รวม 3 วัน
2. งานเดือน 12 เรียกว่างานกลางเดือน 12 เริ่มงานตั้งแต่วันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 12 ถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 12 รวม 5 วัน

คำอาราธนาหลวงพ่อโสธร

กายานะ วาจายะวะ วาโสธะรัง
นามะ อิติปาริหะ ริยะกาง
พุทธธะรูปัง อะหังปิ


คาถาหลวงพ่อโสธร

นะ ทรงฟ้า โม ทรงดิน พุทธ ทรงสินธุ์ ธา ทรงสมุทร ยะ ทรงอากาศ พุทธังแคล้วคลาด ธัมมังแคล้วคลาด สังฆังแคล้วคลาด ศัตรูพาลวินาศสันติ
นะกาโร กุกกุสันโธ สิโรมัชเฌ โมกาโร โกนาคะมะโน นานาจิตเต พุทธกาโร กัสสะโป พุทโธ จะ ทะเวเนเต ธา กาโร ศรีศากกะยะมุนี โคตะโม ยะกันเน ยะกาโร อะริยะ เมตตรัยโย ชิวหาทีเต ปัญจะพุทธา นะมามิหัง
พุทธะบูชา มะหาเตชะวันโต ธัมมะบูชา มะหาปัญโญ สังฆะบูชา มะหาโภคะวะโห อะระหังพุทโธ อิติปิโสภะคะวา นะมามิหัง
................
 
คาถาหลวงพ่อโสธร (วัดโสธรวรารามวรวิหาร อำเภอแปดริ้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา)
ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วว่าคาถานี้ทุกวันจะปลอดภัย ป้องกันอันตรายทั้งปวง ร่มเย็นเป็นสุขตลอดชีวิต อีกทั้งมีเมตตา มหานิยม ซื้อง่ายขายคล่อง นำมาซึ่งโภคทรัพย์

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555

วิธีบูชาพระเทวดาและสะเดาะพระเคราะห์


วิธีบูชาพระเทวดาและสะเดาะพระเคราะห์
ตำราพรหมชาติฉบับสมบูรณ์
โดย สำนักพิมพ์อำนาจสาส์น

วิธีบูชาพระเทวดาและสะเดาะพระเคราะห์

                กำลังแห่งเทวดาซึ่งเสวยอายุ ย่อมให้โทษให้คุณต่างกันตามวาระแห่งกำลังที่เสวย อายุตามกำลังแห่ง วัน เดือน ปี ที่พระเข้าเสวยอายุนั้นให้คุณผู้นั้น (เจ้าชะตา) ก็มีสุขเจริญได้ทรัพย์สินสิ่งของต่าง ๆ และปราศจากโรคภัยเบียดเบียน ถ้า วัน เดือน ปี ที่พระเสวยอายุนั้นให้โทษก็มี แต่ทุกข์เดือดร้อนเสียทรัพย์สิ่งของต่าง ๆ และโรคภัยไข้เจ็บก็เบียดเบียนด้วย ดังนั้น ท่านให้บูชาพระเคราะห์และสะเดาะพระเคราะห์ เพื่อบำบัดความชั่วร้าย และส่งเสริมคุณให้เด่นดีขึ้น แม้พระเคราะห์แทรก ซึ่งเข้าแทรกอายุก็เช่นกัน ท่านได้กล่าววิธีปฏิบัติไว้ ดังนี้

1.บูชาพระอาทิตย์

                เมื่อพระอาทิตย์เข้าเสวยอายุ ให้แต่งเครื่องบูชาพระพุทธรูป ถวายเนตร ทำฉัตรธง ให้เท่าอายุ ธูปเทียนข้าวตอก ดอกไม้ เมี่ยงหมาก แต่สิ่ง ๆ นั้น ให้เท่าอายุของผู้นั้น (เจ้าชะตา) เทียนแต่ละเล่ม ๆ เอาหนัก 1 บาท แต่ไส้เทียนดอกหนึ่ง ๆ นั้น เอาด้ายนับเส้น ซึ่งทำเป็นไส้ให้เท่าอายุ จึงแต่งมะกรูด ส้มป่อย แป้ง เสร็จแล้ว ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วเสกมะกรูด ส้มป่อย ด้วยพระคาถาว่า
                อายนฺตุ โภนฺโต อิธ ทานสีลา เนกฺขมฺมปญฺญา สห วิริยขนฺติ
                สจฺจาธิฎฺฐานา เมตฺตุเปกฺขา ยุทฺธาย โว คณฺหถ อาวุธานิ
                ว่า 3 จบ จึงนมัสการด้วยพระคาถาว่า
                อิติปิโส ภควา ทสปารมี อิติปิโส ภควา ทสอุปปารมี อิติปิส ภควา ทสปรมตฺถปารมี อิติปิโส ภควา สมตึสปารมี
                ว่า 6 จบ ตามกำลังพระอาทิตย์เสวยอายุ จึงเอาน้ำในภาชะ ซึ่งแช่มะกรูด ส้มป่อย สรงพระแล้ว เอามาอาบคนไข้ สระหัวด้วยมะกรูด ส้มป่อย ที่รองพระไว้นั้นแล้วเอาแป้งหอมนำมันหอมทาตัว เอาราชวิติฉัตรธง และของเหล่านั้นที่ทำเท่าอายุบูชาพระเจ้าแล้ว ปิดทองพระถวายเนตรก็ได้ พระยืนกอดอก (พระรำพึง) ก็ได้เสร็จแล้วกรวดนำอุทิศส่วนกุศลไปถึงเทวดาอันเสวยอายุนั้น แล้วตั้งความปรารถนาเอาเถิด เสร็จปรารถนาแล้วให้ระลึกถึง คุณเทวดา ที่เสวยอายุและระลึกถึงคุณพระพุทธเจา พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า จงเป็นทีพึ่งแก่ข้าพเจ้าเถิด ขอให้ทุกข์โศกโรคภัยและอุบาทว์จัญไรทั้งหลายแล จงพินาศเถิด อีกนัยหนึ่งให้เอาธูปเทียน ขนมลูกไม้และข้าวตอก ดอกไม้แดง ใบไทรและใบราชพฤกษ์ สิ่งละ 6 บูชาพระถวายเนตร แล้วให้ภาวนาว่า
                อุเทตยญฺจกฺขุมา เอกราชา หริสฺสวณฺโณ ปฐวิปฺปภาโส ฯลฯ
                โมโร จรติ เอสนา
                วันละ 6 จบ ครบ 6 วัน เมื่อทำได้ดังนี้ ความชั่วร้ายก็จะบรรเทาเบาบาง ให้ว่าคาถาสะเดาะเคราะห์ ดังนี้
                ชยะ ชยะ อิติปิโส ภควา  ข้าพเจ้าจะขอไหว้พระอิศวรเป็นเจ้า ซึ่งเสด็จลงมาชุบพระอาทิตย์ราชสีห์
ทั้ง 6 ตัว จึงมาบังเกิดเป็นพระอาทิตย์ผู้มีฤทธิ์ ขี่ราชสีห์ทองท่องเที่ยวไปทั่วทิศาแล้ว ท่านจงเสด็จลงมายังเมืองอุตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป ปุพพวิเทหทวีป และชมพูทวีป แล้วท่านจึงเสด็จลงมาเสวยอายุแห่งข้าพเจ้าได้ 6 ปี
เวียนรอบในราศี เมษ พฤษภ เมถุน กรกฎ สิงห์ กันย์ ตุลย์ พฤศจิก ธนู มังกร กุมภ์ มีน ต้องลัคน์ ต้องจันทร์ ต้องพระเคราะห์ ตัวนอกตัวพระเคราะห์ ตัวใน ต้องพระเคราะห์ตัวใด ๆ ขอให้คุ้มโทษ คุ้มภัย คุ้มเสียดจัญไร ขอให้มีชัยมงคล คุ้มโทษโทสา ปารมีคุณสมฺปนฺโน อิติปิโส ภควา ภควา อรหํ ชยะ ชยะ สมฺมา ขมา ชยะ ชยะ
                ถ้าพระอาทิตย์เสวยอายุ เวียนรอบมาบรรจบ วัน เดือน ปี ที่ให้คุณยิ่งให้คุณเพิ่มขึ้นแล

2.บูชาพระจันทร์

                2.เมื่อพระจันทร์เข้าเสวยอายุ  ท่านให้แต่งเครื่องบูชาพระพุทธรูปห้ามญาติหรือปางห้ามสมุทร ทำฉัตรธงให้เท่าอายุ ธูปเทียน ดอกไม้ เมี่ยงหมากแต่สิ่ง ๆ นั้นให้เท่าอายุ ของผู้นั้น เทียนแต่ละเล่มเอาหนัก 1 บาท แต่ไส้เทียนดอกหนึ่งนั้นเอาไส้ (เส้นด้ายนับ) เท่าอายุ จึงแต่งมะกรูด ส้มป่อย แป้งน้ำมัน ตั้งไว้ตรงหน้าพระพุทธรูปนั้น
แล้วจุดธูปเทียน บูชาพระ ตั้งจิตให้ตรงกราบไหว้ พระเจ้า (พระพุทธรูป) เสร็จแล้วตั้งนโม 3 จบ เสกกระกรูด
ส้มป่อย ด้วยพระคาถาว่า
                อายนฺตุ โภนุโต อิธ ทานสีลา เนกฺขมฺม ปญฺญา สห วิริยขนฺติ สจฺจาธิฏฺฐนา เมตฺตุเปกขา ยุทฺธาย โว คณฺหถ อาวุธนานิ
                ว่า 3 จบ แล้วจึงนมัสการด้วยพระคาถาว่า
                อิติปิโส ภควา ทสปารมี อิติปิโส ภควา ทสอุปปารมี
อิติปิส ภควา ทสปรมตฺถปารมี อิติปิโส ภควา สมตึสปารมี
                ว่า 15 จบ ตามกำลังที่เสวยอายุ จึงเอาน้ำซึ่งแช่มะกรูด ส้มป่อย สรงพระแล้วเอามาอาบคนไข้ สระหัวด้วยมะกรูด ส้มป่อย ที่รองพระไว้นั้น แล้วเอาแป้งหอมทาตัว เอาราชวัติ ฉัตรธง และของเหล่านั้นที่ทำเท่าอายุนั้นบูชา พระเจ้าแล้วปิดทองพระรำพึงก็ได้ หรือนอนก็ได้ เสร็จแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปถึงเทวดาผู้เสวยอายุนั้น แล้วตั้งความปรารถนาเอาเถิด และให้ระลึกถึงคุณเทวดาผู้เสวยอายุ และระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า จงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าเถิด ขอให้ทุกข์โศกโรคภัยและเสนียดจัญไรทั้งปวงพินาศแล
                อีกนัยหนึ่ง เอาธูปเทียน ดอกไม้ขาว และใบบัว สิ่งละ 15 บูชาพระห้ามพระสมุทรแล้วให้ภาวนาว่าดังนี้
                ยนูทุนฺนิมิตฺตํ อวมงฺคลญฺจ โย จามนาโป สกุณสฺส สทฺโท ปาปคฺคโห ทุสฺสุปินํ อกนฺตํ ฯลฯ
สงฺฆานุภาเวน วินาสเมนฺตุ
                สวดวันละ 15 จบ จนครบ 15 วันก็ได้ ทำดังนี้ ความชั่วร้ายจะบรรเทา ถ้ายังไม่บรรเทา ให้ว่าคาถาสะเดาะเคราะห์ต่อไปดังนี้
                ชยะ ชยะ ชยะ ชยะ  อิติปิโส ภควา  ข้าพเจ้าจะขอไหว้พระอิศวรเป็นเจ้า ซึ่งเสด็จลงมาชุบพระจันทร์ด้วยนาง 15 คน  จึงมาบังเกิดเป็นพระจันทร์ผู้มีฤทธิ์ ขี่ม้าท่องเที่ยวไปทั่วทิศาแล้ว ท่านจงเสด็จลงมายังเมืองอุตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป ปุพพวิเทหทวีป และชมพูทวีป แล้วท่านจึงเสด็จลงมาเสวยอายุแห่งข้าพเจ้าได้ 8 ปี
เวียนรอบในราศี เมษ พฤษภ เมถุน กรกฎ สิงห์ กันย์ ตุลย์ พฤศจิก ธนู มังกร กุมภ์ มีน ต้องลัคน์ ต้องจันทร์ ต้องพระเคราะห์ ตัวนอกตัวพระเคราะห์ ตัวใน ต้องพระเคราะห์ตัวใด ๆ ขอให้คุ้มโทษ คุ้มภัย คุ้มเสียดจัญไร ขอให้มีชัยมงคล คุ้มโทษโทสา ปารมีคุณ สมฺปนฺโน อิติปิโส ภควา ภควา อรหํ ชยะ ชยะ สมฺมา ขมา ชยะ ชยะ
                ถ้าพระจันทร์เสวยอายุ เวียนรอบมาบรรจบ วัน เดือน ปี ที่ให้คุณยิ่งให้คุณเพิ่มขึ้นแล

3.บูชาอังคาร

                เมื่อพระอังคารเข้าเสวยอายุ  ท่านให้แต่งเครื่องบูชาพระพุทธรูปไสยาสน์ ทำฉัตรธงให้เท่าอายุ ธูปเทียน ดอกไม้ เมี่ยงหมากแต่สิ่ง ๆ นั้นให้เท่าอายุ ของผู้นั้น เทียนแต่ละเล่มเอาหนัก 1 บาท แต่ไส้เทียนดอกหนึ่งนั้นเอาไส้ (เส้นด้ายนับ) เท่าอายุ จึงแต่งมะกรูด ส้มป่อย แป้งน้ำมัน ตั้งไว้ตรงหน้าพระพุทธรูปนั้น
แล้วจุดธูปเทียน บูชาพระ ตั้งจิตให้ตรงกราบไหว้ พระเจ้า (พระพุทธรูป) เสร็จแล้วตั้งนโม 3 จบ เสกกระกรูด
ส้มป่อย ด้วยพระคาถาว่า
                อายนฺตุ โภนุโต อิธ ทานสีลา เนกฺขมฺม ปญฺญา สห วิริยขนฺติ
สจฺจาธิฏฺฐนา เมตฺตุเปกขา ยุทฺธาย โว คณฺหถ อาวุธนานิ
                ว่า 3 จบ แล้วจึงนมัสการด้วยพระคาถาว่า
                อิติปิโส ภควา ทสปารมี อิติปิโส ภควา ทสอุปปารมี
อิติปิส ภควา ทสปรมตฺถปารมี อิติปิโส ภควา สมตึสปารมี
                ว่า 8 จบ ตามกำลังพระอังคารซึ่งเสวยอายุ จึงเอาน้ำซึ่งแช่มะกรูด ส้มป่อย สรงพระแล้วเอามาอาบคนไข้ สระหัวด้วยมะกรูด ส้มป่อย ที่รองพระไว้นั้น แล้วเอาแป้งหอมทาตัว เอาราชวัติ ฉัตรธง และของเหล่านั้นที่ทำเท่าอายุนั้นบูชา พระเจ้าแล้วปิดทองพระรำพึงก็ได้ หรือนอนก็ได้ เสร็จแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปถึงเทวดาผู้เสวยอายุนั้น แล้วตั้งความปรารถนาเอาเถิด และให้ระลึกถึงคุณเทวดาผู้เสวยอายุ และระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า จงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าเถิด ขอให้ทุกข์โศกโรคภัยและเสนียดจัญไรทั้งปวงพินาศแล
                อีกนัยหนึ่ง เอาธูปเทียน ดอกไม้ ชมพู่และใบมะม่วง สิ่งละ 8 บูชาพระไสยาศน์ แล้วให้ภาวนาว่าดังนี้
                ยสุสานุภาวโต ยกฺขา เนว ทสฺเสนฺติ ภึสนํ ฯลฯ
                เอวมาทิคุณูเปตํ ปริตฺตนฺตมฺ ภณาม เห
                สวดวันละ 8 จบ จนครบ 8 วันก็ได้ ทำดังนี้ ความชั่วร้ายจะบรรเทา ถ้ายังไม่บรรเทา ให้ว่าคาถาสะเดาะเคราะห์ต่อไปดังนี้
                ชยะ ชยะ ชยะ ชยะ  อิติปิโส ภควา  ข้าพเจ้าจะขอไหว้พระอิศวรเป็นเจ้า ซึ่งเสด็จลงมาชุบพระอังคารด้วยกระบือ 8 ตัว  จึงมาบังเกิดเป็นพระอังคารผู้มีฤทธิ์ ขี่กระบือท่องเที่ยวไปทั่วทิศาแล้ว ท่านจงเสด็จลงมายังเมืองอุตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป ปุพพวิเทหทวีป และชมพูทวีป แล้วท่านจึงเสด็จลงมาเสวยอายุแห่งข้าพเจ้าได้ 8 ปี
เวียนรอบในราศี เมษ พฤษภ เมถุน กรกฎ สิงห์ กันย์ ตุลย์ พฤศจิก ธนู มังกร กุมภ์ มีน ต้องลัคน์ ต้องจันทร์ ต้องพระเคราะห์ ตัวนอกตัวพระเคราะห์ ตัวใน ต้องพระเคราะห์ตัวใด ๆ ขอให้คุ้มโทษ คุ้มภัย คุ้มเสียดจัญไร ขอให้มีชัยมงคล คุ้มโทษโทสา ปารมีคุณ สมฺปนฺโน อิติปิโส ภควา ภควา อรหํ ชยะ ชยะ สมฺมา ขมา ชยะ ชยะ
                ถ้าพระอังคารเสวยอายุ เวียนรอบมาบรรจบ วัน เดือน ปี ที่ให้คุณยิ่งให้คุณเพิ่มขึ้นแล

4.บูชาพระพุธ

                เมื่อพระพุธเข้าเสวยอายุ  ท่านให้แต่งเครื่องบูชาพระพุทธธูปอุ้มบาตร ธูปเทียน ดอกไม้ เมี่ยงหมากแต่สิ่ง ๆ นั้นให้เท่าอายุ ของผู้นั้น เทียนแต่ละเล่มเอาหนัก 1 บาท แต่ไส้เทียนดอกหนึ่งนั้นเอาไส้ (เส้นด้ายนับ) เท่าอายุ จึงแต่งมะกรูด ส้มป่อย แป้งน้ำมัน ตั้งไว้ตรงหน้าพระพุทธรูปนั้น
แล้วจุดธูปเทียน บูชาพระ ตั้งจิตให้ตรงกราบไหว้ พระเจ้า (พระพุทธรูป) เสร็จแล้วตั้งนโม 3 จบ เสกกระกรูด
ส้มป่อย ด้วยพระคาถาว่า
                อายนฺตุ โภนุโต อิธ ทานสีลา เนกฺขมฺม ปญฺญา สห วิริยขนฺติ
สจฺจาธิฏฺฐนา เมตฺตุเปกขา ยุทฺธาย โว คณฺหถ อาวุธนานิ
                ว่า 3 จบ แล้วจึงนมัสการด้วยพระคาถาว่า
                อิติปิโส ภควา ทสปารมี อิติปิโส ภควา ทสอุปปารมี
อิติปิส ภควา ทสปรมตฺถปารมี อิติปิโส ภควา สมตึสปารมี
                ว่า 17 จบ ตามกำลังเทวดา (พระพุธ) ซึ่งเสวยอายุ จึงเอาน้ำซึ่งแช่มะกรูด ส้มป่อย สรงพระแล้วเอามาอาบคนไข้ สระหัวด้วยมะกรูด ส้มป่อย ที่รองพระไว้นั้น แล้วเอาแป้งหอมทาตัว เอาราชวัติ ฉัตรธง และของเหล่านั้นที่ทำเท่าอายุนั้นบูชา พระเจ้าแล้วปิดทองอุ้มบาตรก็ได้ พระแก่นจันทร์ก็ได้  เสร็จแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปถึงเทวดา(พระพุธ) ผู้เสวยอายุนั้น แล้วตั้งความปรารถนาเอาเถิด และให้ระลึกถึงคุณเทวดาผู้เสวยอายุ และระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า จงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าเถิด ขอให้ทุกข์โศกโรคภัยและเสนียดจัญไรทั้งปวงพินาศเถิด
                อีกนัยหนึ่ง เอาธูปเทียน ดอกไม้เขียว ใบขนุน สิ่งละ 17 บูชาพระอุ้มบาตร แล้วให้ภาวนาว่าดังนี้
                สพฺพาสีวิสชาตีนํ ทิพฺพมนฺตาคทํ วิย ฯลฯ
                  นโม สตฺตนฺนํ สมุนา สมฺพุทฺธานนฺติ
                สวดวันละ 17 จบ จนครบ 17 วันก็ได้ ทำดังนี้ ความชั่วร้ายจะบรรเทา ถ้ายังไม่บรรเทา ให้ว่าคาถาสะเดาะเคราะห์ต่อไปดังนี้
                ชยะ ชยะ ชยะ ชยะ  อิติปิโส ภควา  ข้าพเจ้าจะขอไหว้พระอิศวรเป็นเจ้า ซึ่งเสด็จลงมาชุบพระพุธ เทวดาด้วย ช้างสาร 17 ตัว  จึงมาบังเกิดเป็นพระพุธผู้มีฤทธิ์ ขี่ช้างทองท่องเที่ยวไปทั่วทิศาแล้ว ท่านจงเสด็จลงมายังเมืองอุตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป ปุพพวิเทหทวีป และชมพูทวีป แล้วท่านจึงเสด็จลงมาเสวยอายุแห่งข้าพเจ้าได้ 17 ปี
เวียนรอบในราศี เมษ พฤษภ เมถุน กรกฎ สิงห์ กันย์ ตุลย์ พฤศจิก ธนู มังกร กุมภ์ มีน ต้องลัคน์ ต้องจันทร์ ต้องพระเคราะห์ ตัวนอกตัวพระเคราะห์ ตัวใน ต้องพระเคราะห์ตัวใด ๆ ขอให้คุ้มโทษ คุ้มภัย คุ้มเสียดจัญไร ขอให้มีชัยมงคล คุ้มโทษโทสา ปารมีคุณ สมฺปนฺโน อิติปิโส ภควา ภควา อรหํ ชยะ ชยะ สมฺมา ขมา ชยะ ชยะ
                ถ้าพระพุธเสวยอายุ เวียนรอบมาบรรจบ วัน เดือน ปี ที่ให้คุณยิ่งให้คุณเพิ่มขึ้นแล

5.บูชาพระเสาร์

เมื่อพระเสาร์เข้าเสวยอายุ  ท่านให้แต่งเครื่องบูชาพระพุทธธูปนาคปรก ทำฉัตรธงให้เท่าอายุ ธูปเทียน ดอกไม้ เมี่ยงหมากแต่สิ่ง ๆ นั้นให้เท่าอายุ ของผู้นั้น เทียนแต่ละเล่มเอาหนัก 1 บาท แต่ไส้เทียนดอกหนึ่งนั้นเอาไส้ (เส้นด้ายนับ) เท่าอายุ จึงแต่งมะกรูด ส้มป่อย แป้งน้ำมัน ตั้งไว้ตรงหน้าพระพุทธรูปนั้น
แล้วจุดธูปเทียน บูชาพระ ตั้งจิตให้ตรงกราบไหว้ พระเจ้า (คือพระพุทธรูปที่ตั้งบูชา) เสร็จแล้วตั้งนโม 3 จบ เสกกระกรูดส้มป่อย ด้วยพระคาถาว่า
                อายนฺตุ โภนุโต อิธ ทานสีลา เนกฺขมฺม ปญฺญา สห วิริยขนฺติ สจฺจาธิฏฺฐนา เมตฺตุเปกขา ยุทฺธาย โว คณฺหถ อาวุธนานิ
                ว่า 3 จบ แล้วจึงนมัสการด้วยพระคาถาว่า
                อิติปิโส ภควา ทสปารมี อิติปิโส ภควา ทสอุปปารมี
อิติปิส ภควา ทสปรมตฺถปารมี อิติปิโส ภควา สมตึสปารมี
                ว่า 10 เที่ยว  ตามกำลังเทวดา (พระเสาร์) ที่เสวยอายุ จึงเอาน้ำซึ่งแช่มะกรูด ส้มป่อย สรงพระแล้วเอามาอาบคนไข้ สระหัวด้วยมะกรูด ส้มป่อย ที่รองพระไว้นั้น แล้วเอาแป้งหอมทาตัว เอาราชวัติ ฉัตรธง และของเหล่านั้นที่ทำเท่าอายุนั้นบูชา พระเจ้าแล้วปิดทองพระนอน  เสร็จแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้เทวดา (พระเสาร์) ที่เสวยอายุนั้น แล้วตั้งความปรารถนาเอาเถิด และให้ระลึกถึงคุณเทวดาผู้เสวยอายุ และระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า จงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าเถิด ขอให้ทุกข์โศกโรคภัยและเสนียดจัญไรทั้งปวงพินาศแล
                อีกนัยหนึ่ง เอาธูปเทียน ดอกไม้ดำ และใบมะตูม สิ่งละ 10 บูชาพระประธาน (พระนาคปรก) แล้วให้ภาวนาว่าดังนี้
                ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต ฯลฯ
                 เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา
                สวดวันละ 10 จบ จนครบ 10 วันก็ได้ ทำดังนี้ ความชั่วร้ายจะบรรเทา ถ้ายังไม่บรรเทา ให้ว่าคาถาสะเดาะเคราะห์ต่อไปดังนี้
                ชยะ ชยะ อิติปิโส ภควา  ข้าพเจ้าจะขอไหว้พระอิศวรเป็นเจ้า ซึ่งเสด็จลงมาชุบพระเสาร์ เทวาด้วยหัวผีตายโหงสิบหัว   จึงมาบังเกิดเป็นพระเสาร์ ผู้มีฤทธิ์ ขี่เสือท่องเที่ยวไปทั่วทิศาแล้ว ท่านจงเสด็จลงมายังเมืองอุตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป ปุพพวิเทหทวีป และชมพูทวีป แล้วท่านจึงเสด็จลงมาเสวยอายุแห่งข้าพเจ้าได้ 10 ปี
เวียนรอบในราศี เมษ พฤษภ เมถุน กรกฎ สิงห์ กันย์ ตุลย์ พฤศจิก ธนู มังกร กุมภ์ มีน ต้องลัคน์ ต้องจันทร์ ต้องพระเคราะห์ ตัวนอกตัวพระเคราะห์ ตัวใน ต้องพระเคราะห์ตัวใด ๆ ขอให้คุ้มโทษ คุ้มภัย คุ้มเสียดจัญไร ขอให้มีชัยมงคล คุ้มโทษโทสา ปารมีคุณ สมฺปนฺโน อิติปิโส ภควา ภควา อรหํ ชยะ ชยะ สมฺมา ขมา ชยะ ชยะ
                ถ้าพระเสาร์ เสวยอายุ เวียนรอบมาบรรจบ วัน เดือน ปี ที่ให้คุณยิ่งให้คุณเพิ่มขึ้นแล

6.บูชาพระพฤหัสบดี

                6.เมื่อพระพฤหัสบเข้าเสวยอายุ  ท่านให้แต่งเครื่องบูชาพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิ ทำฉัตรธงให้เท่าอายุ ธูปเทียน ดอกไม้ เมี่ยงหมากแต่สิ่ง ๆ นั้นให้เท่าอายุ ของผู้นั้น เทียนแต่ละเล่มเอาหนัก 1 บาท แต่ไส้เทียนดอกหนึ่งนั้นเอาไส้ (เส้นด้ายนับ) เท่าอายุ จึงแต่งมะกรูด ส้มป่อย แป้งน้ำมัน ตั้งไว้ตรงหน้าพระพุทธรูปนั้น
แล้วจุดธูปเทียน บูชาพระ ตั้งจิตให้ตรงกราบไหว้ พระเจ้า (พระพุทธรูปที่ตั้งบูชา) เสร็จแล้วตั้งนโม 3 จบ เสกกระกรูดส้มป่อย ด้วยพระคาถาว่า
                อายนฺตุ โภนุโต อิธ ทานสีลา เนกฺขมฺม ปญฺญา สห วิริยขนฺติ สจฺจาธิฏฺฐนา เมตฺตุเปกขา ยุทฺธาย              โว คณฺหถ อาวุธนานิ
                ว่า 3 จบ แล้วจึงนมัสการด้วยพระคาถาว่า
                อิติปิโส ภควา ทสปารมี อิติปิโส ภควา ทสอุปปารมี
อิติปิส ภควา ทสปรมตฺถปารมี อิติปิโส ภควา สมตึสปารมี
                ว่า 19 จบ ตามกำลังเทวดา (พระพฤหัส) ที่เสวยอายุ จึงเอาน้ำซึ่งแช่มะกรูด ส้มป่อย สรงพระแล้วเอามาอาบคนไข้ สระหัวด้วยมะกรูด ส้มป่อย ที่รองพระไว้นั้น แล้วเอาแป้งหอมทาตัว เอาราชวัติ ฉัตรธง และของเหล่านั้นที่ทำเท่าอายุนั้นบูชา พระเจ้าแล้วปิดทองพระนั่งสมาธิก็ได้ พระทรงเครื่องก็ได้เสร็แล้ว อุทิศส่วนกุศลไปถึงเทวดาผู้เสวยอายุนั้น แล้วตั้งความปรารถนาเอาเถิด และให้ระลึกถึงคุณเทวดาผู้เสวยอายุ และระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า จงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าเถิด ขอให้ทุกข์โศกโรคภัยและเสนียดจัญไรทั้งปวงพินาศแล
                อีกนัยหนึ่ง เอาธูปเทียน ดอกไม้สีเมฆ ใบกล้วย สิ่งละ 19 บูชาพระทรงเครื่อง (นั่งขัดสมาธิ) แล้วให้ภาวนาว่าดังนี้
                ปูเรนฺตมฺโพธิสมฺภาเร นิพฺพตฺตํ โมรโยนิยํ ฯลฯ
   พฺรหฺมมนฺตนฺติ อกฺขาตํ ปริตฺ ตนฺตมฺภณาม เห
                สวดวันละ 19 จบ จนครบ 19 วันก็ได้ ทำดังนี้ ความชั่วร้ายจะบรรเทา ถ้ายังไม่บรรเทา ให้ว่าคาถาสะเดาะเคราะห์ต่อไปดังนี้

                ชยะ ชยะ อิติปิโส ภควา  ข้าพเจ้าจะขอไหว้พระอิศวรเป็นเจ้า ซึ่งเสด็จลงมาชุบพรพฤหัสเทวาด้วยพราหมณ์ราชครูสิบเก้าตน จึงมาบังเกิดเป็นพระพฤหัสผู้มีฤทธิ์ ขี่กวาง ท่องเที่ยวไปทั่วทิศาแล้ว ท่านจงเสด็จลงมายังเมืองอุตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป ปุพพวิเทหทวีป และชมพูทวีป แล้วท่านจึงเสด็จลงมาเสวยอายุแห่งข้าพเจ้าได้ 19 ปีเวียนรอบในราศี เมษ พฤษภ เมถุน กรกฎ สิงห์ กันย์ ตุลย์ พฤศจิก ธนู มังกร กุมภ์ มีน ต้องลัคน์ ต้องจันทร์ ต้องพระเคราะห์ ตัวนอกตัวพระเคราะห์ ตัวใน ต้องพระเคราะห์ตัวใด ๆ ขอให้คุ้มโทษ คุ้มภัย คุ้มเสียดจัญไร ขอให้มีชัยมงคล คุ้มโทษโทสา ปารมีคุณ สมฺปนฺโน อิติปิโส ภควา ภควา อรหํ ชยะ ชยะ สมฺมา ขมา ชยะ ชยะ
                ถ้าพระพฤหัสบดี เสวยอายุ เวียนรอบมาบรรจบ วัน เดือน ปี ที่ให้คุณยิ่งให้คุณเพิ่มขึ้นแล

7.บูชาพระราหู

                เมื่อพระราหู เข้าเสวยอายุ  ท่านให้แต่งเครื่องบูชาพระพุทธรูปปางป่าเลไลย์ หรือปางพระมารวิชัย  ทำฉัตรธงให้เท่าอายุ ธูปเทียน ดอกไม้ เมี่ยงหมากแต่สิ่ง ๆ นั้นให้เท่าอายุ ของผู้นั้น เทียนแต่ละเล่มเอาหนัก 1 บาท แต่ไส้เทียนดอกหนึ่งนั้นเอาไส้ (เส้นด้ายนับ) เท่าอายุ จึงแต่งมะกรูด ส้มป่อย แป้งน้ำมัน ตั้งไว้ตรงหน้าพระพุทธรูปนั้นแล้วจุดธูปเทียน บูชาพระ ตั้งจิตให้ตรงกราบไหว้ พระเจ้า (พระพุทธรูป) เสร็จแล้วตั้งนโม 3 จบ เสกกระกรูด
ส้มป่อย ด้วยพระคาถาว่า
                อายนฺตุ โภนุโต อิธ ทานสีลา เนกฺขมฺม ปญฺญา สห วิริยขนฺติ สจฺจาธิฏฺฐนา เมตฺตุเปกขา ยุทฺธาย โว คณฺหถ อาวุธนานิ
                ว่า 3 จบ แล้วจึงนมัสการด้วยพระคาถาว่า
                อิติปิโส ภควา ทสปารมี อิติปิโส ภควา ทสอุปปารมี
อิติปิส ภควา ทสปรมตฺถปารมี อิติปิโส ภควา สมตึสปารมี
                ว่า 12 จบ ตามกำลังพระราหู ที่เสวยอายุ จึงเอาน้ำซึ่งแช่มะกรูด ส้มป่อย สรงพระแล้วเอามาอาบคนไข้ สระหัวด้วยมะกรูด ส้มป่อย ที่รองพระไว้นั้น แล้วเอาแป้งหอมทาตัว เอาราชวัติ ฉัตรธง และของเหล่านั้นที่ทำเท่าอายุนั้นบูชา พระเจ้า(พระพุทธรูปที่ตั้งบูชา) แล้วปิดทองพระป่าเลไลย์ก็ได้ เสร็จแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปถึงเทวดาผู้เสวยอายุนั้น แล้วตั้งความปรารถนาเอาเถิด และให้ระลึกถึงคุณเทวดาผู้เสวยอายุ และระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า จงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าเถิด ขอให้ทุกข์โศกโรคภัยและเสนียดจัญไรทั้งปวงพินาศแล
                อีกนัยหนึ่ง เอาธูปเทียน ดอกไม้ดำ และใบยอ  สิ่งละ 12 บูชาพระห้ามพระสมุทรแล้วให้ภาวนาว่าดังนี้
                ยสฺสานุสฺสรเณนาปิ อนฺตลิกฺเขปิ ปาณิโน ฯลฯ
  ยกฺขโจราทิสมฺภวาคณนา น จ มุตฺตานํ ปริตฺตนฺตมฺภณาม เห
                สวดวันละ 12 จบ จนครบ 12 วันก็ได้ ทำดังนี้ ความชั่วร้ายจะบรรเทา ถ้ายังไม่บรรเทา ให้ว่าคาถาสะเดาะเคราะห์ต่อไปดังนี้
                ชยะ ชยะ อิติปิโส ภควา  ข้าพเจ้าจะขอไหว้พระอิศวรเป็นเจ้า ซึ่งเสด็จลงมาชุบพระราหู ด้วยหัวผีโขมดสิสองหัว   จึงมาบังเกิดเป็นพระราหูผู้มีฤทธิ์ ขี่ยักษ์ท่องเที่ยวไปทั่วทิศาแล้ว ท่านจงเสด็จลงมายังเมืองอุตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป ปุพพวิเทหทวีป และชมพูทวีป แล้วท่านจึงเสด็จลงมาเสวยอายุแห่งข้าพเจ้าได้ 12 ปี
เวียนรอบในราศี เมษ พฤษภ เมถุน กรกฎ สิงห์ กันย์ ตุลย์ พฤศจิก ธนู มังกร กุมภ์ มีน ต้องลัคน์ ต้องจันทร์ ต้องพระเคราะห์ ตัวนอกตัวพระเคราะห์ ตัวใน ต้องพระเคราะห์ตัวใด ๆ ขอให้คุ้มโทษ คุ้มภัย คุ้มเสียดจัญไร ขอให้มีชัยมงคล คุ้มโทษโทสา ปารมีคุณ สัมปันโน อิติปิโส ภควา ภควา อรหํ ชยะ ชยะ สมฺมา ขมา ชยะ ชยะ
                ถ้าพระราหูเสวยอายุ เวียนรอบมาบรรจบ วัน เดือน ปี ที่ให้คุณยิ่งให้คุณเพิ่มขึ้นแล

8.บูชาพระศุกร์

                เมื่อพระศุกร์ เข้าเสวยอายุ  ท่านให้แต่งเครื่องบูชาพระพุทธรูปรำพึง  ทำฉัตรธงให้เท่าอายุ ธูปเทียน ดอกไม้ เมี่ยงหมากแต่สิ่ง ๆ นั้นให้เท่าอายุ ของผู้นั้น เทียนแต่ละเล่มเอาหนัก 1 บาท แต่ไส้เทียนดอกหนึ่งนั้นเอาไส้ (เส้นด้ายนับ) เท่าอายุ จึงแต่งมะกรูด ส้มป่อย แป้งน้ำมัน ตั้งไว้ตรงหน้าพระพุทธรูปนั้น
แล้วจุดธูปเทียน บูชาพระ ตั้งจิตให้ตรงกราบไหว้ พระเจ้า (พระพุทธรูป) เสร็จแล้วตั้งนโม 3 จบ เสกกระกรูด
ส้มป่อย ด้วยพระคาถาว่า
                อายนฺตุ โภนุโต อิธ ทานสีลา เนกฺขมฺม ปญฺญา สห วิริยขนฺติ
  สจฺจาธิฏฺฐนา เมตฺตุเปกขา ยุทฺธาย โว คณฺหถ อาวุธนานิ
                ว่า 3 จบ แล้วจึงนมัสการด้วยพระคาถาว่า
                อิติปิโส ภควา ทสปารมี อิติปิโส ภควา ทสอุปปารมี
อิติปิส ภควา ทสปรมตฺถปารมี อิติปิโส ภควา สมตึสปารมี
                ว่า 12 จบ ตามกำลังเทวดา (พระศุกร์) ที่เสวยอายุ จึงเอาน้ำซึ่งแช่มะกรูด ส้มป่อย สรงพระแล้วเอามาอาบคนไข้ สระหัวด้วยมะกรูด ส้มป่อย ที่รองพระไว้นั้น แล้วเอาแป้งหอมทาตัว เอาราชวัติ ฉัตรธง และของเหล่านั้นที่ทำเท่าอายุนั้นบูชา พระเจ้า (พระพุทธรูปที่ตั้งบูชา) แล้วปิดทองพระนาคปรกก็ได้ พระป่าเลไลย์ก็ได้  เสร็จแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปถึงเทวดาผู้เสวยอายุนั้น แล้วตั้งความปรารถนาเอาเถิด และให้ระลึกถึงคุณเทวดาผู้เสวยอายุ และระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า จงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าเถิด ขอให้ทุกข์โศกโรคภัยและเสนียดจัญไรทั้งปวงพินาศแล
                อีกนัยหนึ่ง เอาธูปเทียน ดอกไม้ขาว และใบบัว สิ่งละ 21 บูชาพระรำพึง แล้วให้ภาวนาว่าดังนี้
                อปฺปสนฺเนหิ นาคสฺส สาสเน สาธุ สมฺมเต ฯลฯ
  ยนฺเทเสสิ มหาวีโร ปริตฺตนฺ ตมฺภณาม เห
                สวดวันละ 21 จบ จนครบ 21 วันก็ได้ ทำดังนี้ ความชั่วร้ายจะบรรเทา ถ้ายังไม่บรรเทา ให้ว่าคาถาสะเดาะเคราะห์ต่อไปดังนี้
                ชยะ ชยะ อิติปิโส ภควา  ข้าพเจ้าจะขอไหว้พระอิศวรเป็นเจ้า ซึ่งเสด็จลงมาชุบพระจันพระศุกร์เทวาด้วยโคอุสุภราชยี่สิบเอ็ดตัว จึงมาบังเกิดเป็นพระศุกร์ ผู้มีฤทธิ์ ขี่โคทอง ท่องเที่ยวไปทั่วทิศาแล้ว ท่านจงเสด็จลงมายังเมืองอุตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป ปุพพวิเทหทวีป และชมพูทวีป แล้วท่านจึงเสด็จลงมาเสวยอายุแห่งข้าพเจ้าได้ 21 ปีเวียนรอบในราศี เมษ พฤษภ เมถุน กรกฎ สิงห์ กันย์ ตุลย์ พฤศจิก ธนู มังกร กุมภ์ มีน ต้องลัคน์ ต้องจันทร์ ต้องพระเคราะห์ ตัวนอกตัวพระเคราะห์ ตัวใน ต้องพระเคราะห์ตัวใด ๆ ขอให้คุ้มโทษ คุ้มภัย คุ้มเสียดจัญไร ขอให้มีชัยมงคล คุ้มโทษโทสา ปารมีคุณ สัมปันโน อิติปิโส ภควา ภควา อรหํ ชยะ ชยะ สมฺมา ขมา ชยะ ชยะ
                ถ้าพระศุกร์ เสวยอายุ เวียนรอบมาบรรจบ วัน เดือน ปี ที่ให้คุณยิ่งให้คุณเพิ่มขึ้นแล

9.บูชาพระเกตุ

                เมื่อพระเกตุ เข้าเสวยอายุ  ท่านให้แต่งเครื่องบูชาพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้  ทำฉัตรธงให้เท่าอายุ ธูปเทียน ดอกไม้ เมี่ยงหมากแต่สิ่ง ๆ นั้นให้เท่าอายุ ของผู้นั้น เทียนแต่ละเล่มเอาหนัก 1 บาท แต่ไส้เทียนดอกหนึ่งนั้นเอาไส้ (เส้นด้ายนับ) เท่าอายุ จึงแต่งมะกรูด ส้มป่อย แป้งน้ำมัน ตั้งไว้ตรงหน้าพระพุทธรูปนั้น
แล้วจุดธูปเทียน บูชาพระ ตั้งจิตให้ตรงกราบไหว้ พระเจ้า (พระพุทธรูป) เสร็จแล้วตั้งนโม 3 จบ เสกกระกรูด
ส้มป่อย ด้วยพระคาถาว่า
                อายนฺตุ โภนุโต อิธ ทานสีลา เนกฺขมฺม ปญฺญา สห วิริยขนฺติ สจฺจาธิฏฺฐนา เมตฺตุเปกขา ยุทฺธาย โว คณฺหถ อาวุธนานิ
                ว่า 3 จบ แล้วจึงนมัสการด้วยพระคาถาว่า
                อิติปิโส ภควา ทสปารมี อิติปิโส ภควา ทสอุปปารมี
อิติปิส ภควา ทสปรมตฺถปารมี อิติปิโส ภควา สมตึสปารมี
                ว่า 9 เที่ยว  ตามกำลังเทวดา (พระเกตุ) ที่เสวยอายุ จึงเอาน้ำซึ่งแช่มะกรูด ส้มป่อย สรงพระแล้วเอามาอาบคนไข้ สระหัวด้วยมะกรูด ส้มป่อย ที่รองพระไว้นั้น แล้วเอาแป้งหอมทาตัว เอาราชวัติ ฉัตรธง และของเหล่านั้นที่ทำเท่าอายุนั้นบูชา พระเจ้าแล้วปิดทองพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง (พระเกตุอยู่นอกพระเคราะห์ทั้งแปด)  เสร็จแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปถึงเทวดา (พระเกตุ) ผู้เสวยอายุนั้น แล้วตั้งความปรารถนาเอาเถิด และให้ระลึกถึงคุณเทวดาผู้เสวยอายุ และระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า จงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าเถิด ขอให้ทุกข์โศกโรคภัยและเสนียดจัญไรทั้งปวงพินาศแล
                อีกนัยหนึ่ง เอาธูปเทียน ดอกไม้สีทอง และใบทอง (หรือใบไม้อื่น ซึ่งมีสีเหลืองก็ได้ ) สิ่งละ 9 บูชาพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วให้ภาวนาว่าดังนี้
                กินฺนุ สนฺตรมาโนว ฯลฯ ไปจนจบ
                สวดวันละ 9 จบ จนครบ 15 วันก็ได้ ทำดังนี้ ความชั่วร้ายจะบรรเทา ถ้ายังไม่บรรเทา ให้ว่าคาถาสะเดาะเคราะห์ต่อไปดังนี้
                ชยะ ชยะ อิติปิโส ภควา  ข้าพเจ้าจะขอไหว้พระอิศวรเป็นเจ้า ซึ่งเสด็จลงมาชุบพระเกตุเทวาด้วยนาค 9 ตัว จึงมาบังเกิดเป็นพระเกตุ ผู้มีฤทธิ์ ขี่นาคทอง ท่องเที่ยวไปทั่วทิศาแล้ว ท่านจงเสด็จลงมายังเมืองอุตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป ปุพพวิเทหทวีป และชมพูทวีป แล้วท่านจึงเสด็จลงมาเสวยอายุแห่งข้าพเจ้าได้ 9 ปี
เวียนรอบในราศี เมษ พฤษภ เมถุน กรกฎ สิงห์ กันย์ ตุลย์ พฤศจิก ธนู มังกร กุมภ์ มีน ต้องลัคน์ ต้องจันทร์ ต้องพระเคราะห์ ตัวนอกตัวพระเคราะห์ ตัวใน ต้องพระเคราะห์ตัวใด ๆ ขอให้คุ้มโทษ คุ้มภัย คุ้มเสียดจัญไร ขอให้มีชัยมงคล คุ้มโทษโทสา ปารมีคุณ สัมปันโน อิติปิโส ภควา ภควา อรหํ ชยะ ชยะ สมฺมา ขมา ชยะ ชยะ
                ถ้าพระเกตุเสวยอายุ เวียนรอบมาบรรจบ วัน เดือน ปี ที่ให้คุณยิ่งให้คุณเพิ่มขึ้นแล

                หมายเหตุ คำว่า แล้วท่านจึงเสด็จมาเสวยอายุ แห่งข้าพาเจ้าได้ .....ปี ในคาถาสะเดาะพระเคราะห์ทุก ๆ แห่งถ้าเป็นหมอทำให้แก่ผู้ใดต้องใส่ชื่อผู้นั้นแทน แห่งข้าพเจ้า เป็นแห่งนาย...หรือนาง..... ตามเพศ ถ้าใส่
นามสกุลเขาด้วยก็ยิ่งดี

การบูชาพระพฤหัส


นพเคราะห์ประจำวันพฤหัสบดี
ตำนานพระพฤหัสบดี
โดย : อ.เจียระไน โชคมงคลชัยชนะ 

พระพฤหัสบดี เป็นครูแห่งเทวดาทั้งหลาย (ปุโรหิต) ตามไตรเพทว่าเป็นองค์เดียวกับพระอัคนี เทพแห่งไฟ อีกตำราว่าเป็นฤาษีโอรสพระอังคีรสพรหมบุตร (อังคิรสมุนี) กับนาง สมปฤดี
ตำราพระอิศวรกล่าวว่า พระศิวะเจ้าได้สร้างพระพฤหัสบดีขึ้นมา โดยนำฤษี 19 ตน มาป่นให้ละเอียดเป็นผง ห่อด้วยผ้าสีเหลือง ร่ายพระคาถาศักดิ์สิทธิ์ ห่อผ้านั้นก็กลายเป็นพระพฤหัสบดี เทพบุตรผู้ปรากฎเป็นฤาษี กายสีแสด ทรงกระดานชนวน ลูกประคำ อาภรณ์ประดับด้วยแก้วบุษราคัม ทรงกวางเป็นพาหนะ เป็นเทพแห่งปัญญา เทพแห่งครู วันพฤหัสบดีจึงถือเป็นวันครู (วันไหว้ครูของไทย)
พระพฤหัสบดี มีพระชายาคือ นางมมตา พระโอรสคือ ตาระ ซึ่งภายหลังได้เป็นทหารเอกของพระรามในรามเกียรติ์หรือรามายณะ ชายาของพระพฤหัสบดีอีกองค์หนึ่งคือ นางดารา ซึ่งถูกพระจันทร์ลักพาไปเป็นชายาจนมีบุตรด้วยกันคือ พระพุธ (อ่านได้จากเรื่อง พระจันทร์และพระพุธ)
วิธีบูชาพระพฤหัสบดี ผู้เกิดวันอื่นๆ ก็บูชาเทวดาองค์นี้ได้เช่นกัน
ผู้บูชาพระพฤหัสบดี จะได้รับพรด้านความมีปัญญา ฉลาดหลักแหลม การศึกษาเล่าเรียนจะเป็นไปอย่างราบรื่น
พระพฤหัสบดีจะประทานความมีเกียรติในสังคม การได้รับความไว้วางใจเคารพนับถือจากผู้อื่น
พระประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีคือ ปางสมาธิ
คาถาบูชาพระพฤหัสบดี
ไหว้แบบไทย สามารถทำตามเคล็ดวิชาการบูชาของไทยโบราณได้
คือ ถ้าบูชาประจำวันปกติใช้ธูป 3 หรือ 5 ดอก
หากบวงสรวง ขอพรในกรณีพิเศษ ฤกษ์ที่ดีที่สุดคือวันพฤหัสบดี ให้ใช้ธูป 19 ดอก (ตามกำลังเทพนพเคราะห์)
บูชาพระพฤหัสบดี ด้วย คาถานารายณ์ตวาดป่าหิมพานต์
ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ
สวดตามกำลังเทพพระพฤหัสบดี คือ 19 จบ
(บทสวดนี้ได้มาจากบทสรรเสริญพระพุทธคุณ เรียกว่า พระคาถาอิติปิโสแปดทิศ)
บทสวดบูชาพระพฤหัสบดีอิติปิโส ภะคะวา พระพฤหัสบดีจะมัสมิง
จะ พุทธะคุณัง จะ ธัมมะคุณัง จะ สังฆะคุณัง
สัพพะทุกขัง สัพพะภะยัง สัพพะโรคัง วิวัชชะเย
สัพพะลาภัง ภะวันตุเม


บทสวดบูชาพระพุทธรูปปางสมาธิ พระประจำวันพฤหัสบดีปูเรนตัมโพธิสัมภาเร นิพพัตตัง โมระโยนิยัง
เยนะ สังวิหิตารักขัง มหาสัตตัง วะเนจะรา
จิรัสสัง วายะมันตาปิ เนวะ สักขิงสุ คัณหิตุง
พรัหมะมันตันติ อักขาตังปะริตตันตัม ภะณามะ เหฯ
ประวัติย่อพระพุทธรูปปางสมาธิ

ในเช้าของคืนวันที่จะตรัสรู้นั้น พระโพธิสัตว์สิตธัตถะ หลังเสวยข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดานำมาถวายแล้ว ก็ได้ทรงอธิษฐานเสี่ยงทายถาดทองคำที่แม่น้ำเนรัญชรา แล้วประทับยับยั้งอยู่ที่นั้นจนตะวันบ่ายคล้อยเสด็จกลับมายังต้นพระศรีมหา โพธิ์ ในระหว่างทาง ได้ทรงรับหญ้าคา 6 กำมือ จากโสตถิยะพราหมณ์ จึงนำมาปูลาด ณ ใต่ต้นไม่ พระศรีมหาโพธิ์แทนบัลลังก์ แล้วขึ้นประทับนั่งผันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ผันพระปฤษฏางค์ ให้ลำต้นพระศรีมหาโพธิ์ แล้วจึงทรงอธิษฐานพระทัยว่า จักไม่ลุกจากบัลลังก์นี้ ตามใดที่ยังไม่ได้บรรลุพระสัมโพธิญาณ แม้ว่าเนื้อและเลือดจะเหือดแห้งไปจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกก็ตามทีหลังจาก อธิษฐานจิตพระองค์ก็ได้เผชิญกับการทำสงครามกับพญามาราธิราชพร้อมเสนาหมู่ ใหญ่ แต่พระองค์ก็สามารถเอาชนะได้ด้วยพระบารมีต่างๆก่อนที่พระอาทิตย์จะอัสดงคต เล็กน้อย จากนั้นก็ได้เจริญภาวนาจนได้บรรลุพระญาณต่างๆ ไปตามลำดับ คือ
1.ในปฐมยาม ทรงบรรลุบุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกชาติในอดีตได้เป็นเหตุให้ทรงยั่งรู้อัตตภาพขันธสังขารต่างที่ ประกอบกันขึ้นและดับไปนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ทรงกำจัดความหลงในขันธ์อันเป็นเหตุรักหรือขังเสียได้โดยสิ้นเชิง
2.ในมัชฌิมยาม ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ หรือ ทิพพจักษุ สามารหยั่งรู้การเกิดการตายตลอดถึงสาเหตุที่ทำให้สรรพสัตว์ต้องเวียนว่ายตาย เกิดในรูปแบบต่างๆ กันออกไปก็ด้วยอำนาจกรรมที่แตกต่างกัน เป็นผลให้ทรงกำจัดความหลง ในคติแห่งขันธ์อันเป็นเหตุสำคัญผิดด้วยประการต่างๆ ได้
3.ในปัจฉิมยาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ สามารถกำจัดอาสวักกิเลสน้อยใหญ่ทั้งมวลได้สิ้นเชิงด้วยพระปัญญารู้แจ้งความ จริงอันประเสริฐและเข้าใจชัดแจ้งถึงสายโซ่แห่งชีวิตที่เกิดดับ โดยความอาศัยกันและกัน แห่งเหตุปัจจัย หรือปฏิจจสมุทปบาทธรรมทำให้ทรงได้ชีวิตใหม่ บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ กลายเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระญาณอันหมดจดวิเศษเหนื่อยกว่ามนุษย์ และทวยเทพทั้งมวล
ภายหลังจากตรัสรู้ พระองค์ก็ได้ประทับนั่งเสวยวิมุติสุขและพิจารณาปฏิจจสมุปบาทธรรมตลอด 7 วัน ณ ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์ โดยมิได้เสด็จลุกไปไหนด้วยเหตุอัศจรรย์ดังกล่าว ภายหลังจึงมีการสร้างพระพุทธรูปปางสมาธิขึ้นไว้เป็นอนุสติและกลายมาเป็นปาง พระพุทธรูปบูชา สำหรับ ผู้ที่เกิดในวันพฤหัสบดี

การบูชาพระเกตุ


พระเกตุ



สำหรับผู้ที่ไม่ทราบวันเกิดให้บูชาพระเกตุ
พระเกตุเป็นเทพนพเคราะห์ที่มีเลข ๙ เป็นสัญลักษณ์ประจำตัว  และมีศรัทธาในพระพุทธรูปปางสะดุ้งมาร โดยลักษณะเด่นของพระองค์คือ
๙.๑ ท่านเป็นเทพนพเคราะห์องค์เดียวที่ไม่มีวันสถิต  แต่มนุษย์จะถือเอาวันที่มีดาวหางมาเป็นวันของพระองค์  อันเป็นเหตุให้พระองค์เป็นเทพแห่งดาวหางและคอยคุ้มครองผู้คนที่เกิดในช่วงเวลาที่มีดาวหางมา  (ถือกันว่าหางของดาวหางเปรียบเสมือนสัญลักษณ์หรือตัวแทนของพระเกตุ เพราะเดิมทีพระองค์คือร่างกายส่วนหางของพระราหู เพราะพระราหูมีลำตัวท่อนล่างเป็นกายของพญางูใหญ่)
๙.๒ มีกำเนิดมาจากการสังหาร เพราะท่านเกิดจากเจตนารมณ์ของพระนารายณ์ที่ต้องการสังหารพระราหู  แต่กลับกลายเป็นทำให้ท่านได้เกิดขึ้นมาจากท่อนหางของพระราหูที่ได้รับพลังแห่งน้ำอมฤตไป
๙.๓ ท่านเป็นเทพนพเคราะห์ที่มีพลังแห่งปาฏิหาริย์ จึงสามารถคุ้มครองคนได้หมดทุกคนโดยไม่สนใจว่าคนๆนั้นจะเกิดวันอะไร  ซึ่งพระองค์จะคอยรับหน้าที่ในการคุ้มครองผู้คนที่ชะตาโคจรมาตกในภูมิตากลาง (อันไม่มีเทพองค์อื่นคุ้มครอง)
๙.๔ ด้วยพลังแห่งปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่มี ท่านจึงสามารถทำเรื่องที่เป็นไปได้ให้เป็นไปได้ หรือทำเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากให้เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ท่านจึงมีฉายาหรือชื่อเล่นว่า “ เทพยดาบังเอิญ ” (เท่ากับ Wonder Angel ของทางตะวันตก)
๙.๕ ด้วยพลังแห่งปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่ของท่าน ทำให้ท่านมีพลังอันยิ่งใหญ่เหนือกว่าเทพนพเคราะห์อันเป็นดาวเคราะห์ทั้งหลาย หรือพูดง่ายๆก็คือท่านจะด้อยกว่าเพียงแค่พระอาทิตย์เท่านั้น  หากในทางกลับกันท่านก็ไม่มีจุดอ่อนแบบพระอาทิตย์  คือไม่แพ้พระราหูประการหนึ่ง และไม่มีเงื่อนไขการสถิตรักษาในตัวคนอันเกิดขึ้นได้ยากยิ่งอย่างพระอาทิตย์อีกประการหนึ่ง 
โดยกำเนิดพระเกตุเทพนั้นมีเหตุมาจากการที่พระอินทร์และเหล่าเทพต้องคำสาปของฤษีทุรวาสจนหมดสิ้นเรี่ยวแรง  ไม่อาจรบกับพวกอสูรได้  จึงต้องมีการชักนาคดึกดำบรรพ์กวนเกษียรสมุทรเพื่อทำน้ำอมฤตมาให้เหล่าเทพดื่มจะได้ไม่มีวันตาย และแก้คำสาปของฤษีทุรวาสไปพร้อมๆกัน ซึ่งในขณะนั้นเหล่าเทพทั้งหลายต้องฤทธิ์คำสาปของฤษีทุรวาส จนไม่มีแรงพอจะกวนเกษียรสมุทรได้โดยลำพัง  จึงทำอุบายไปตกลงกับเหล่าอสูรว่าหากพวกอสูรมาช่วยการทำพิธีชักนาคดึกดำบรรพ์และกวนเกษียรสมุทรแล้ว  พวกตนจะแบ่งน้ำอมฤตให้  แล้วเหล่าเทพก็ได้ใช้อุบายอันแยบยลเอาเปรียบและตัดกำลังเหล่าอสูรมากมาย  เช่นให้อสูรชักนาคอยู่ข้างหัว  เพราะเมื่อพญานาครู้สึกหงุดหงิดที่ถูกเทพและอสูรดึงหัวดึงหางนานเกินไป ก็จะพ่นพิษออกมาใส่เหล่าอสูรซึ่งอยู่ข้างหัว  ทำให้พวกอสูรต้องพิษพญานาคจนหมดแรงและล้มป่วยไปตามๆกัน  มีเพียงพระราหูเท่านั้นที่มองแผนการแยบยลของเหล่าเทพออก  จึงได้แปลงกายเป็นเทวดาแล้วมาชักนาคอยู่ฝั่งเดียวกับเหล่าเทพ  และเมื่อเหล่าเทพฉวยโอกาสที่เหล่าอสูรกำลังนอนหมดแรงเพราะพิษนาคเข้าไปชิงดื่มน้ำอมฤตก่อน  พระราหูก็ได้เข้าไปร่วมดื่มน้ำอมฤตด้วย  แต่ก็ถูกพระจันทร์กับพระอาทิตย์เทพจับได้ว่ามิใช่เทพโดยแท้จริง  เทพทั้งสองจึงได้ไปฟ้องพระนารายณ์  พระนารายณ์จึงรีบขว้างจักรมาสังหารพระราหู  เพราะไม่ต้องการให้มีอสูรที่เป็นอมตะเกิดขึ้นมาในไตรโลก  แต่ก็สายไปเสียแล้วน้ำอมฤตได้มอบความเป็นอมตะให้แก่พระราหู  จนถึงแม้จักรของพระนารายณ์จะตัดร่างของพระราหูจนขาดออกไปเป็นสองส่วน พระราหูก็ยังไม่ตาย และร่างกายท่อนล่างของพระราหูที่ขาดออกไปก็ได้ถือกำเนิดเป็นเทพบุตรองค์ใหม่ ซึ่งก็คือพระเกตุนั่นเอง
                และนับจากนั้นมาพระราหูก็ผูกใจเจ็บพระจันทร์กับพระอาทิตย์เรื่อยมาที่เป็นต้นเหตุให้ตนมีกายเหลือเพียงครึ่งเดียว  เมื่อพบเจอพระจันทร์หรือพระอาทิตย์ที่ใดก็จะจับอมบ้าง  จับหนีบรักแร้บ้างทำให้เกิดเป็นสุริยคราสและจันทรคราสตราบจนทุกวันนี้ ส่วนพระเกตุซึ่งกำเนิดใหม่มาในโอกาสนั้น ก็ได้เข้าร่วมเป็น ๑ ในเทพนพเคราะห์คอยคุ้มครองผู้คนทั้งหลาย และคอยมอบปาฏิหาริย์อันไม่คาดฝันให้แก่ผู้คนเหล่านั้น
อำนาจของพระเกตุต่อบุคคลหรือสถานที่อันมีฤกษ์แห่งดาวพระเกตุสถิตอยู่
(๑)   บุคคลใดมีเลข ๙ คืออำนาจของพระเกตุอยู่ในตัว จะมีชีวิตที่ลื่นไหลและสุขสบายกว่า
บุคคลอื่นๆ (พูดกันตามภาษาพระก็คือทำบุญมาดี) เพราะไม่ว่าจะทำอะไรหรือประสงค์สิ่งใด แม้ว่าสิ่งที่ปรารถนานั้นจะได้มาอย่างยากลำบากแค่ไหน ผู้ที่มีพลังของพระเกตุก็มักจะได้มาง่ายๆโดยปาฏิหาริย์
(๒) บุคคลใดมีเลข ๙ คืออำนาจของพระเกตุอยู่ในตัว จะเป็นคนพูดเก่ง มีวาจาดี และ
สามารถพูดให้คนอื่นศรัทธาเลื่อมใสในวาจาของตนได้ง่ายๆ
(๓)  บุคคลใดมีเลข ๙ คืออำนาจของพระเกตุอยู่ในตำแหน่งสมอง มักจะมีความคิด
สร้างสรรค์อันหลากหลาย สามารถคิดอะไรที่คนอื่นคิดไม่ได้หรือคิดไม่ถึงได้สบายๆ
(๔)  บุคคลใดมีเลข ๙ คืออำนาจของพระเกตุอยู่ในตำแหน่งหัวใจหรือความรักหรือสมรส
จะสามารถรักกับภูต อมนุษย์ เทพ พรหม หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เฉกเช่นผู้ที่มีพลังของพระราหูอยู่ในตำแหน่งดังกล่าว
                จึงกล่าวได้ว่าใครมีพลังของพระเกตุอยู่ในตัวคือผู้ที่ทำบุญมาดีตั้งแต่ชาติก่อน และมีวาสนาในชาตินี้อย่างวิเศษจริงๆ

บทสวดสำหรับผู้ที่เกิดวันพระเกตุ

คติพุทธ - คติพราหมณ์ (สำหรับผู้ที่จำวันเกิดของตนเองไม่ได้แน่นอน)
พระประจำวันเกิด : พระพุทธรูป ปางมารวิชัย
เครื่องประดับมงคลประจำวันเกิด : -
สีมงคลประจำวันเกิด : สีขาว
อักษรมงคลประจำวันเกิด : -
กำลังวัน : ๙

เทวดาประจำวันเกิด : เกิดจากพญานาค ๙ ตัว สร้างขึ้นเป็น พระเกตุ มีกายเป็นสีทองคำ ทรงนาคเป็นพาหนะ วิมานเป็นสีดอกบุษบา คือเหมือนสีเปลวไฟ ประจำอยู่ในทิศท่ามกลาง ฯ


บทสวดบูชาพระ สำหรับผู้ที่เกิด วันพระเกตุ


๐ มะหาการุณิโก นาโถ
ปูเรตตะวา ปาระมี สัพพา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
๐ ชะยันโต โพธิยา มูเล
เอวัง อะหัง วิชะโย โหมิ
อะปะราชิตะปัลลังเก
อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง
สุนักขัตตัง สุมังคะลัง
สุขะโณ สุมุหุตโต จะ
ปะทักขิณัง กายะกัมมัง
ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง
ปะทักขิณานิ กัตตะวานะ
หิตายะ สัพพะปาณินัง
ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง
โหตุ เม ชะยะมังคะลัง
สักกะยานัง นันทิวัฑฒะโน
ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล
สีเส ปะฐะวิโปกขะเร
อัคคัปปัตโต ปะโมทะติ
สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง
สุยิฏฐัง พรัหมะจาริสุ
วาจากัมมัง ปะทักขิณัง
ปะณิธี เต ปะทักขิณา
ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ ฯ


การบูชาพระราหู (คนเกิดวันพุธกลางคืน)


นพเคราะห์ประจำวันราหู(พุธกลางคืน)
พระราหู (พระประจำวันพุธกลางคืน)
พระราหู ว่าเป็นโอรสพระพฤหัสบดีกับนางสิงหิกา ตามความนิยมกันว่าพระราหูอมพระอาทิตย์และพระจันทร์ในเวลาอุปราคานั้นมีเรื่องเล่ามาว่า เดิมพระราหูเป็นอสูร แต่เมื่อเวลากวนน้ำอมฤตนั้นได้แปลงรูปเป็นเทวดา พระอาทิตย์กับพระจันทร์ซึ่งนั่งอยู่ด้วยกันได้ท้วงแก่พระนารายณ์ว่า มีอสูรอีก 1 ตนได้กินน้ำอมฤตแล้ว พระนารายณ์จึงตัดเศียรอสูรนั้นเพื่อลงอาญา แต่อสูรนั้นได้น้ำอมฤตแล้ว เพราะฉะนั้นทั้งเศียรทั้งกายก็มิได้ตาย พระนารายณ์จึงตัดนามภาคเศียรว่า ราหู ให้อยู่ทางที่ลับแห่งจันทรโคจร ตั้งนามกายภาคว่า เกตุ ให้อยู่ทางที่แจ้งแห่งจันทรโคจร กับอนุญาตว่าเพื่อแก้แค้น ให้ราหูมีเวลาได้เข้าใกล้พระอาทิตย์ พระจันทร์ และกระทำให้มัวหม่น ร่างกายซูบผอมคลำไป


พระราหู ตามตำรับโหราศาสตร์
โดย "อ.เจียระไน โชคมงคลชัยชนะ"
 
สมัยหนึ่ง พระเสาร์กำเนิดมาเป็นพญานาครักษามหาสมุทร พระอาทิตย์ได้กำเนิดมาเป็นพญาครุฑ รักษาเขาสัตนาปริพันธ์ พระพฤหัสบดีกำเนิดมาเป็นพระอินทร์ มีหน้าที่รักษาเขาพระสุเมรุ
วันหนึ่ง พญาครุฑเกิดอยากกินพญานาค จึงตรงไปไล่จับเพื่อกินเป็นอาหาร พญานาคสู้จนสุดฤทธิ์ แต่แพ้พลังของพญาครุฑ จึงรีบหนีไปพึ่งใบบุญของพระราหู
พญาครุฑมีฤทธิ์น้อย ก็แพ้พระราหู พญาครุฑจึงหนีไปพึ่งพระอินทร์ ระหว่างนั้นพระราหูซึ่งกำลังไล่ล่าพญาครุฑ บังเอิญเหลือบไปเห็นน้ำอมฤต ด้วยความกระหายจึงยกขึ้นดื่ม
ฝ่ายพระอินทร์เห็นพระราหูทำล่วงเกิน ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง บันดาลโทสะ จึงขว้างจักรเพชรเข้าใส่ร่างพระราหู ร่างขาดเป็น 2 ท่อน แต่ไม่ตายเพราะได้น้ำอมฤตมาก่อนนั้น
เทวรูปหรือรูปภาพพระราหู มักทำเป็นรูปมนุษย์หน้าดุร้ายเป็นยักษ์ กำลังอมพระจันทร์หรือพระอาทิตย์ มี 2 แขน ถือดาบและโล่หรือทวน
อีกตำนานคือ พระราหูเกิดจากพระศิวะมหาเทพ (พระอิศวร) สร้างขึ้นด้วยการนำเอาหัวกะโหลกของผีโขมดไพรจำนวน 12 หัว มาบดให้ป่น ห่อด้วยผ้าสีดำ แล้วประพรมด้วยน้ำอมฤต ปลุกเสกให้มีชีวิตขึ้นด้วยเวทย์มนต์ หัวผีโขมดป่นในห่อผ้านั้นจึงเกิดเป็นราหูขึ้นมา พระราหูจึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น 12 เนื่องด้วยถูกสร้างขึ้นมาจากกระโหลกจำนวน 12 หัวนั่นเอง


พระราหูอมพระอาทิตย์
โดย อ.เจียระไน โชคมงคลชัยชนะ

ประธานชมรมค้นคว้าฮวงจุ้ยและโหราศาสตร์ไทย ระบบดาวกระจาย
ในวิชาดาราศาสตร์ถือว่า โลก เป็นดาวพระเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยะจักรวาล เงามืดของโลกที่ไม่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ เรียกว่าพระราหู เช่นเดียวกับดาวเคราะห์ดวงอื่น แต่วิชาโหราศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคพยากรณ์ถือว่า โลก คือ พระราหู เป็นศูนย์กลางของจักรวาลระบบจันทรคติ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ดาวหาง ต่างเป็นบริวารต้องโคจรรอบโลกอยู่ตลอดเวลา อันเป็นที่มาของความเชื่อในเรื่อง พระราหูเทวบุตร มีฤทธิ์เดชไม่ยิ่งหย่อนกว่าเทวดาองค์ใดในสวรรค์ และตำนานการขโมยดื่มน้ำอมฤตของพวกเทวดา จนถูกจักรของพระนารายณ์กายขาดเป็น 2 ท่อน ล่องลอยอยู่ในชั้นฟ้า ท่อนหนึ่งเรียกว่า พระราหู คอยไล่จับพระอาทิตย์และพระจันทร์กลืนกิน แสดงให้เห็นถึงการค้นพบความลับของธรรมชาติมานานแสนนาน แต่ปกปิดซ่อนไว้ในรูปนิทานปรัมปรา ถ้าไม่ศึกษาค้นคว้าพิจารณาให้ถ่องแท้ ก็จะกลายเป็นความเชื่อที่งมงายไร้เหตุผล และไม่มีทางจะเข้าถึงศาสตร์ชั้นสูงอีกระดับหนึ่ง ที่เรียกว่า ญาณศาสตร์ ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าบรรลุชั้นใดชั้นหนึ่ง ก็สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ได้ ใครสำเร็จญาณชั้นที่ 8 ย่อมตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า หรือพระโพธิสัตว์
ดังนั้นก่อนที่จะไปถึงขั้นสำเร็จในระดับญาณศาสตร์ จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้และเข้าใจ คุณสมบัติของระบบธาตุในโลก ระบบธาตุบนชั้นบรรยากาศและระบบจักรวาล หรือทฤษฎีการหมุนเวียนไปรอบจุดศูนย์กลาง ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นบ่อเกิดของพลังศักดิ์สิทธิ์ของแม่เหล็กไฟฟ้า จนถึงการสร้างระเบิดมหาประลัย จึงต้องเข้าใจในเรื่องพระราหู ให้ถูกต้องตามหลักธรรมชาติเสียก่อน ต่อจากนั้นจึงพยายามเรียนรู้เรื่อง หางพระราหู
แท้จริงแล้วโลกของเราภาคกลางวันได้รับแสงอาทิตย์อันร้อนแรง แผดเผาจนวัตถุธาตุบนพื้นผิวโลกละลายกลายเป็นไอระเหยระเหิดลอยขึ้นไปในอากาศ ดังจะเห็นได้จากละอองไอน้ำลอยฟ่องในหมอกเมฆ ควันไฟ หรือสิ่งที่มองไม่เห็นนานาชนิด ฝุ่นละออง ธาตุของโลกที่ล่องลอยขึ้นไปในชั้นฟ้า มิได้หลุดลอยไปนอกโลก แต่ขึ้นไปสถิตอยู่บนชั้นบรรยากาศสะสมเพิ่มมากขึ้นทุกวัน อันเป็นที่มาของระบบดินน้ำลมไฟในชั้นบรรยากาศ ที่วิชาโหราศาสตร์เรียกว่า นวางค์ หรือ ตรียางค์ หรือความเชื่อในเรื่องเทวดามีวิมานอยู่บนสวรรค์ ดังนี้เป็นต้น การค้นพบความสำคัญของระบบชั้นบรรยากาศธาตุที่หุ้มห่อโลกไว้ คอยปรับสภาพอุณหภูมิบนพื้นผิวโลกให้เหมาะสมสำหรับเกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นในโลก สืบพันธุ์กันไปไม่ขาดสายนี่เอง ตำนานชาติเวรของดวงดาวจึงบอกว่า พระราหู ถูกจักรพระนารายณ์ กายขาดเป็น 2 ท่อน แต่ไม่ตายเพราะดื่มน้ำอมฤตของเทวดา คือรากฐานการเกิดสรรพสิ่งในโลกโดยมีเหตุอ้างอิงและปฏิเสธเรื่องพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง
กล่าวกันว่าระบบโลกธาตุที่ถูกแสงอาทิตย์เผาไหม้ ลอยขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศนั้น ถูกแรงเหวี่ยงของโลกซึ่งหมุนรอบตัวเองและโคจรไปรอบดวงอาทิตย์กดดันควบคุมให้วนเวียน มีลักษณะเป็นเกลียวส่ายไปมาในอากาศ แต่ดวงตาของเรามองไม่เห็น เรียกกันว่า พระเกตุ อยู่ตรงข้ามกับพระราหู เพราะเป็นเรื่องราวของโลกในภาคกลางวัน เช่นเดียวกับธรรมชาติในโลกที่คนเราต้องทำงาน หาอาหารจนค่ำมืดจึงพักผ่อนนอนหลับไปในภาคกลางคืน
หากเข้าใจธรรมชาติของพระเกตุ หรือหางพระราหู ว่าโลกในภาคกลางวันคลื่นพลังแสงและความร้อนของดวงอาทิตย์ สร้างระบบธาตุให้แก่ชั้นบรรยากาศธาตุ เพื่อให้ดวงจันทร์ทำหน้าที่กลั่นกลองผสมธาตุบนชั้นฟ้าในเวลากลางคืน ต่อจากนั้นค่อยส่งแรงดึงดูดร่วมกับโลกแย่งชิงระบบธาตุบนชั้นบรรยากาศป้อนให้แก่โลก ปรุงแต่งแปลงสภาพกลายเป็นธรรมชาติขึ้นในโลก ด้วยเหตุนี้ในภาคกลางวันโลกจำต้องพึ่งพาอาศัยแสงอาทิตย์ ในภาคกลางคืนโลกจำต้องพึ่งพาอาศัยแสงจันทร์ อานุภาพของแสงอาทิตย์แสงจันทร์และระบบธาตุนี่เอง คือรากฐานการกำเนิดสรรพสิ่งขึ้นในโลก นักโหราศาสตร์จึงสรุปกลไกอันซับซ้อนของความสัมพันธ์นี้ว่า

"อาทิตย์เป็นพ่อ จันทร์เป็นแม่ ราหูเป็นลูก"
ดังนั้นตราบใดที่โลกยังเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติ ตราบนั้นโลกยังต้องพึ่งพาอาศัยแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ เพื่อปรุงแต่งแปลงสภาพระบบธาตุให้เกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นในโลก
ชาวศรีวิชัยจึงสร้างสัญลักษณ์พระราหูอมจันทร์ขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความรู้ ความเข้าใจในจักรวาลทั้งระบบสุริยคติ และระบบจันทรคติอย่างแจ่มแจ้ง สามารถอธิบายให้เห็นถึงการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของวัฏจักร และวงจรชีวิต ทั้งแสดงให้เห็นว่าเหตุใดพราหมณ์จึงนับถือ ศิวลึงค์ และโยนีของพระแม่อุมาเทวี ก็เพราะว่าเขารู้เรื่องจักรวาลเป็นอย่างดี จึงแปลงสัญลักษณ์ของธรรมชาติเป็นเพศชายหญิงอันเป็นบรรพบุรุษของตนขึ้นกราบไหว้บูชา แต่หลักการอันเร้นลับถูกปกปิดไว้จนสำคัญผิดคิดว่าเป็นปรากฏการณ์ สุริยุปราคา และจันทรุปราคา ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน แม้กระทั่งพระไตรปิฎกที่อ้างว่าผ่านการสังคายนากันมาหลายครั้ง ก็ยังจารึกเรื่องนี้ไว้อย่างไม่ถูกต้อง
ในที่นี้พระราหูอมจันทร์ แท้จริงแล้วเป็นภาพเชิงซ้อนของภาพพระราหูอมพระอาทิตย์กับภาพพระราหูอมพระจันทร์ ทับอยู่ในภาพเดียวกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่า โลก คือ พระราหู จำเป็นต้องได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ในตอนกลางวัน ได้รับแสงจากดวงจันทร์ในตอนกลางคืน โลกจึงบังเกิดสิ่งที่เรียกว่า ธรรมชาติ
การเรียนรู้ธรรมชาติทำให้เราทราบถึงฤดูกาลและบังเกิดอารยธรรมอันสูงส่งขึ้นในโลก อย่างน้อยชาวนาชาวสวนก็รู้ว่าเมื่อไรจะถึงเวลาไถนาปักดำข้าวกล้า ควรเก็บเกี่ยวเมื่อไร ชาวทะเลทราบว่าเมื่อไรจะเกิดลมมรสุมไม่ควรนำเรือออกไปในทะเล หรือในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์นำวิชาความรู้มาสร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะว่า พระราหู ไม่ใช่ยักษ์มารผีโขมดหรือความชั่วร้ายดังที่เข้าใจกันมา แต่พระราหูเป็นโลกของเรา เป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยสืบพันธุ์กันไปไม่มีที่สิ้นสุด สมดังคำกล่าวว่า พระราหู ได้กินน้ำอมฤตจึงไม่ตายเป็นอมตะและมีฤทธิ์จนเทวดาฟ้าดินยำเกรง
-------------พระราหู ตามคติพราหมณ์-ฮินดู ขี่สิงห์เป็นพาหนะ
พระราหู ตามคติพุทธ-ไทย ขี่ครุฑเป็นพาหนะ
พระราหูไปกินพระอาทิตย์ เรียกว่า สุริยุปราคา (สุริยคราส)
พระราหูไปกินพระจันทร์ เรียกว่า จันทรุปราคา (จันทรคราส)
พระราหูเป็นเทพองค์ที่ 8 ของ "นวนพเคราะห์"
วิธีบูชาพระราหู ผู้เกิดวันอื่นๆ ก็บูชาเทวดาองค์นี้ได้เช่นกัน
ผู้บูชาพระราหู (พุธกลางคืน) จะได้รับพร ด้านลาภยศ ความไม่หวั่นไหว ไม่ล้ม ไม่เจ็บ ยืนหยัดต่อสู้ได้
ปัญหาต่างๆแม้ใหญ่เพียงใดก็จะได้รับการขจัดปัดเป่าด้วยฤทธิ์แห่งพระราหูี
พระประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืน คือ ปางปางป่าเลไลย์
คาถาบูชาพระราหู
ไหว้แบบไทย สามารถทำตามเคล็ดวิชาการบูชาของไทยโบราณได้
คือ ถ้าบูชาประจำวันปกติใช้ธูปธรรมดา 3 หรือ 8 ดอก
หากบวงสรวง ขอพรในกรณีพิเศษ ฤกษ์ที่ดีที่สุดคือวันพุธ ให้ใช้ธูป 12 ดอก (ตามกำลังเทพนพเคราะห์)
บูชาพระราหู ด้วย คาถานารายณ์ถอดจักร
คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ
สวดตามกำลังเทพพระราหู คือ 12 จบ
(บทสวดนี้ได้มาจากบทสรรเสริญพระพุทธคุณ เรียกว่า พระคาถาอิติปิโสแปดทิศ)
บทสวดบูชาพระราหู
บทสวดบูชาพระราหู แบบที่ 1
อิติปิโส ภะคะวา พระราหูจะมัสมิง
จะ พุทธะคุณัง จะ ธัมมะคุณัง จะ สังฆะคุณัง
สัพพะทุกขัง สัพพะภะยัง สัพพะโรคัง วิวัชชะเย
สัพพะลาภัง ภะวันตุเม
-------------------------------------------------------------
บทสวดบูชาพระราหู แบบที่ 2
โอม เอกะจักขุ นาริเกลา สุริยะจันทระ ประภา
ราหูคาหาสัตตะระตะนะ สัมปันโนมณีโชติ
ระโส ยะถา สุวัณณะ รัชชะตะ สะมิทธา อะหังวันทามิ เมสะทาฯ
-------------------------------------------------------------
บทสวดบูชาพระราหู แบบที่ 3
กุสเสโตมะมะ กุสเสโตโต ลาลามะมะ
โตลาโม โทลาโมมะมะ โทลาโมมะมะ
โทลาโมตัง เหกุติมะมะ เหกุติ
ยัตถะตังมะมะ ตังถะยะ ตะวะตัง
มะมะตัง วะติตัง เสกามะมะ
กาเสกัง กาติยังมะมะ ยะติกา


บทสวดบูชาพระพุทธรูปปางป่าเลไลย์ พระประจำวันพุธกลางคืนกินนุ สันตะระมาโน วะราหุ สุริยัง ปะมุญจะสิ
สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ
สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ
พุทธะคาถาภิคีโตมหิ โน เจ มุญเจยยะ สุริยันติ
กินนุ สันตะระมาโน วะราหุ จันทัง ปะมุญจะสิ
สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ
สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ
พุทธคาถาภิคีโตมหิ โน เจ มุญเจยยะ จันทิมันติ
ประวัติย่อพระพุทธรูปปางป่าเลไลย์

ในสมัยหนึ่งพระวินัยธรและพระธรรมกถึกชาวเมืองโกสัมพี ได้ก่อความทะเลาะวิวาทกันขึ้นในโฆสิตารามด้วยเรื่องการยกโทษกันเกี่ยวกับ วินัย จนหมู่ภิกษุตลอดถึงอุบาสก อุบาสิกาเกิดแตกแยกกันขึ้นเป็น 2 ฝ่ายแม้พระพุทธองค์จะทรงเข้าไปไกล่เกลี่ยให้สงฆ์ปรองดองกันเสียแต่ก็ไม่มี ใครเชื่อฟังพระโอวาทนั้น ทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยหน่ายความถือรั้นด้วยทิฏฐิมานะของภิกษุเหล่านั้นจึง เสด็จไปยังราวป่าอันเป็นที่อยู่ของช้างชื่อปาริเลยยกะ เพียงพระองค์เดี่ยวโดยไม่อำลาใครๆและได้ประทับอยู่ที่ราวป่านั้นเพียงลำพัง โดยมีช้างปาริเลยยกะคอยปรนนิบัติทำกิจวัตรต่างๆ แต่พระศาสดา ทำให้ชัฏป่าแห่งนั้นได้ชื่อว่า รักชิตวัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ต่อมา ลิงตัวหนึ่งเห็นช้างทำกิจวัตรต่างๆปรนบัติพระศาสดาเช่นนั้นจึงเกิดความ เลื่อมใสคิดอยากบำรุงพระศาสดาบ้าง ภายหลังวันหนึ่งได้พบรวงผึ้งบนกิ่งไม้จึงหักกิ่งนั้นนำมาถวายพระศาสดาแต่ เห็นพระองค์รับแล้วกลับนิ่งเฉยเสีย จึงใคร่ครวญดูก็ได้เห็นว่ามีตัวอ่อนไต่อยู่บนรัง เลยเขี่ยตัวอ่อนนั้นทิ้งแล้วถวายเสียใหม่ คราวนี้พระพุทธองค์ทรงรับแล้วก็เสวย ทำให้ลิงตัวนั้นปิติยินดียิ่งนัก วิ่งกระโดดไปมาบนกิ่งไม้แต่บังเอิญกิ่งที่ลิงเหยียบและยึดเอาไว้นั้นหักลงมา ตรงตอไม้ปลายแหลมพอดี ทำให้ลิงตัวหนั้นถูกปลายตอเสียบทะลุร่างสิ้นใจตายแล้ว ได้บังเกิดเป็นเทพบุตรบนดาวดึงส์
ช้างปาริเลยยกะได้ปรนนิบัติรับใช้พระพุทธองค์ตลอดไตรมาส โดยมิได้ขาดตกบกพร่องฝ่ายภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ภายหลังจากวันที่พะพุทธเจ้าเสด็จหลีกไปนั้น ได้มีพวกอุบาสกอุบาสิกามาเข้าเฝ้าพระศาสดาที่โฆสิตาราม แต่ไม่พบจึงสอบถามจนทราบเรื่องราวและสาเหตุที่พระพุทธองค์เสด็จหนีไป ทำให้ชนทั้งหลายต่างไม่พอใจภิกษุเหล่านั้น จึงพร้อมใจกันงดทำสามีจิกรรม งดถวายอาหาร ทำให้พวกเธอต้องอยู่จำพรรษาในโฆสิตารามด้วยความยากลำบาก จึงหันมาสามัคคีปองดองกันเหมือนเดิม แต่ชาวบ้านก็ยังไม่ยกโทษให้จนกว่าพวกเธอจะทูลขอขมาให้พระพุทธองค์อดโทษเสีย ก่อน
หลังออกพรรษา ตระกูลเศรษฐีคหบดี ในเมืองสาวัตถี มีอนาถบิณฑิกเศรษฐีและนางวิสาขามหาอุบาสิกา เป็นต้น ได้ส่งข่าวไปขอร้องให้พระอานนท์พุทธอุปัฏฐากไปกราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์ให้ เสด็จไปพระนครสาวัตถีด้วย
พระอานนท์จึงพาภิกษุต่างถิ่น จำนวน 500 รูปที่เดินทางมาเพื่อประสงค์จะเข้าเฝ้าพระพุทธองค์เช่นกัน ไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ณ ราวป่ารักชิตวัน แล้วกราบทูลแจ้งตามความประสคงค์ของเศรษฐีคหบดีชาวพระนครสาวัตถึให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าจึงแสดงธรรมโปรดพระภิกษุที่มาเข้าเฝ้าจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด จากนั้นก็ได้เสด็จไปยังพระนครสาวัตถี
ฝ่ายช้างปาริเลยยกะ ไม่อาจตัดความรักที่มีต่อพระศาสดาได้ เมื่อพระองค์ทรงพาหมู่ภิกษุหลีกไปก็ขาดใจตายไปบังเกิดเป็นเทพบุตรบนดาวดึงส์ ส่วนภิกษุชาวเมืองโกสัมพีทราบข่าวว่าพระศาสดาเสด็จไปประทับอยู่ ณ เชตวัน เมืองสาวัตถีแล้วจึงพากันไปเข้าเฝ้าและกราบทูลขอขมาต่อพระพุทธองค์
ด้วยเหตุที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับอยู่จำพรรษาตามลำพังที่ราวป่ารักขิตวัน โดยมีช้างปาริเลยยกะคอยอุปัฏฐากปรนนิบัติบำรุงดังกล่าว ต่อมาจึงได้มีการสร้างพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ขึ้น และใช้เป็นปางพระพุทธรูปบูชา สำหรับผู้เกิดวันพุทธกลางคืน